หุ้นแบงก์ร่วงนำ ดาวโจนส์ปิดวานนี้ลบ 254 จุด!

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 250 จุดเมื่อคืนนี้ (11 ก.พ.) โดยตลาดได้รับปัจจัยลบจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นกลุ่มธนาคาร อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลที่ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังอ่อนแรงลงหลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้เน้นย้ำในการแถลงวันที่ 2 ว่า ความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลกได้สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (11 ก.พ.) ที่ 15,660.18 จุด ร่วงลง 254.56 จุด หรือ -1.60%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,266.84 จุด ลดลง 16.75 จุด หรือ -0.39% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,829.08 จุด ลดลง 22.78 จุด หรือ -1.23%

หุ้นกลุ่มธนาคารถูกกระหน่ำขายอย่างหนักและเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงเมื่อคืนนี้ โดยนักลงทุนวิตกกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน ดิ่งลง 4.4% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 6.8% หุ้นซิตี้กรุ๊ปปรับตัวลงมากกว่า 6.5% ขณะที่หุ้นโกลด์แมนแซค ร่วงลงกว่า 4%

หุ้นโบอิ้งร่วงลง 6.8% หลังมีรายงานว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐกำลังตรวจสอบกรณีการคาดการณ์ยอดขายเครื่องบินและการคำนวณต้นทุนของโบอิ้ง รวมทั้งข่าวที่ว่าโบอิ้งกำลังวางแผนปรับลดจำนวนพนักงานในแผนกเครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท เนื่องจากบริษัทต้องการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก และหุ้นยูเนียน แปซิฟิก ต่างก็ปรับตัวลงอย่างน้อย 1.8%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังร่วงลงหลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้กล่าวแถลงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวานนี้ว่า การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกได้สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ก็ยังเป็นการเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าความเสี่ยงเหล่านั้นมีความรุนแรงมากพอที่จะทำให้เฟดเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ นางเยลเลนยังยอมรับว่า เฟดมีความประหลาดใจต่อการทรุดตัวลงอย่างมากของราคาพลังงาน และการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ราย สู่ระดับ 269,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 ก.พ. โดยอยู่ต่ำกว่าระดับ 281,000 ที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐวันนี้ รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนม.ค., ราคาส่งออกและนำเข้าเดือนม.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค.

Back to top button