จับตา TOP วิ่งต่อ! ริบประกัน UJV หมื่นล้าน โบรกเพิ่มมูลค่าหุ้น 5 บ. ลุ้นบันทึกรายได้ Q1
“ไทยออยล์” เฮ! ริบเงินประกัน 1.2 หมื่นล้านบาท จากกลุ่มรับเหมาหลักโครงการพลังงานสะอาดแล้ว หลังบอร์ดซัมซุงยอมจ่าย ลุ้นบันทึกเป็นรายได้เข้าไตรมาสแรกดันงบปีนี้เติบโตเกิน 100% ผู้บริหารมั่นใจโครงการเดินหน้าต่อเนื่อง จับตา 21 ก.พ.นี้ ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โหวตเพิ่มวงเงินก่อสร้าง CFP อีก 6.3 หมื่นล้านบาท ก่อนพิจารณายกเลิกสัญญากลุ่ม UJV ด้านโบรกประเมินเงินประกัน 1.2-1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มอัพไซด์ราคาหุ้น TOP กว่า 5-7.6 บาท บาท จากราคาเป้าหมาย 28 บาท
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทได้บังคับหลักประกันภายใต้สัญญาจ้างเหมาทำของการออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และ การก่อสร้าง (EPC Contract) ระหว่างบริษัทและ The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore Contractor) และ an unincorporated joint venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (Onshore Contractor) ตามสัญญาและเพื่อประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนเงินประมาณ 12,339 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้บริษัทขอยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อผลักดันโครงการพลังงานสะอาด ให้เดินหน้าต่อ ไปให้ดีที่สุด
:ลุ้นบันทึกรายได้ Q1
นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยกับ”ข่าวหุ้นธุรกิจ”ว่า ผู้ตรวจสอบบัญชีบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดว่าจะบันทึกรายการเงินหลักประกันที่ได้รับจากกลุ่ม UJV จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นรายได้ของบริษัทหรือไม่ อย่างไรก็ตามถ้าลงบันทึกเป็นรายได้ไตรมาส 1/68 กำไรจะเติบโตเป็นหมื่นล้านบาท แต่หากไม่บันทึกเป็นรายได้ ก็จะนำไปลดต้นทุนวงเงินก่อสร้างในโครงการ CFP
ส่วนจะมีการเรียกเงินวงเงินประกันจากกลุ่ม UJV เพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้ต้องรอดูว่างานดำเนินการไปตามสัญญาแต่ละสัญญาหรือไม่ ส่วนวงเงินจะถึง 1.7 หมื่นล้านบาท ตามที่มีนักวิเคราะห์บางรายประเมินนั้นยังไม่สามารถบอกได้ ซึ่งทุกอย่างอยู่ที่สัญญาที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น
“การยกเลิกสัญญากับ UJV ขณะนี้ยังไม่ถึงจุดนั้นซึ่งต้องรอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นไทยออยล์ วันที่ 21 กุม ภาพันธ์นี้ก่อนว่า จะเห็นชอบเพิ่มวงเงินก่อสร้างโครงการ CFP อีก 6.3 หมื่นล้านบาท ตามที่ขอไว้หรือไม่ หากอนุมัติก็สามารถที่จะดำเนินการ CFP ได้อย่างต่อเนื่อง”นางวนิดา กล่าว
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท
สำหรับการเพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัท และผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว
:บอร์ดซัมซุงยอมจ่าย
ด้านเว็บไซต์ของ SAMSUNG E&A ที่มีการแจ้งเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทต่อตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ ระบุว่า มติคณะกรรมการบริษัท SamsungE&A ในการจ่ายเงินชดเชยให้กับบริษัทไทยออยล์จากการดำเนินโครงการ CFP ที่ไม่เป็นไปตามกำหนด
ทั้งนี้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ได้ขอใช้สิทธิเรียกร้องเงินรับประกันการดำเนินงานก่อสร้างโครงการ CFP ซึ่งทาง SamsungE&A ได้จ่ายเงินทดแทนให้กับธนาคารที่ออกพันธบัตรค้ำประกันแล้วจำนวน 88,800 ล้านวอนเกาหลีใต้ หรือประมาณ 2 พันล้านบาท) โดย TOP ได้ใช้สิทธิเรียกร้องพันธบัตรส่วนหนึ่งของพันธบัตรที่ค้ำประกัน (ประมาณ 86% ของจำนวนเงินที่รับประกันทั้งหมด) และคณะกรรมการมีมติ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ให้จ่ายเงินตามสิทธิการเรียกร้องกับธนาคารที่ออกพันธบัตรค้ำประกันแล้ว
นอกจากนี้ SAMSUNG E&A มีแผนเจรจากับผู้ว่าจ้างเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มมูลค่าของสัญญา ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการ Clean Fuel Project รวมถึงการใช้สิทธิเรียกร้องหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญานี้ และวางแผนที่จะยื่นคำร้องต่ออนุญาโตตุลาการหากจำเป็น
:ดันอัพไซด์เพิ่ม 5 บาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นบวกต่อ TOP จากพัฒนาการดังกล่าว เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะปลดล็อคปัญหาของโครงการ CFP ซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทไทยออยล์ มีผลกระทบต่อสถานะการเงิน และผลการดำเนินงานบริษัทในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ
“เราเชื่อว่าการเบิกเงินค้ำประกันนี้ เป็นสัญญาณบวกที่จะทำให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้”นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยกล่าว
ทั้งนี้จากการประเมินเบื้องต้น เงินประกันที่ TOP ได้รับจาก UJV ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท หากมีการบันทึกเป็นกำไรพิเศษในไตรมาสที่ 1/68 ก็จะส่งผลให้กำไรสุทธิของปีนี้เติบโตเกินเท่าตัว จากตัวเลขประมาณการกำไรปกติที่ 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับอัพไซด์ที่เกิดจากรายได้พิเศษที่เข้ามา 1.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น 4.80 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายปัจจุบัน 27.50 บาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไรหุ้น TOP upside อยู่ที่ 5-7.6 บาท/หุ้น จากมูลค่าเงินชดเชยโครงการ CFP ทั้งนี้ จากการสอบถามบริษัทเพิ่มเติมทาง TOP ได้เงินจากธนาคารจากพันธบัตรค้ำประกันบางส่วน 65-70% ของมูลค่าที่บริษัทมีสิทธิ์เรียกร้องทั้งหมด 1.7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น upside ไม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามหากเรียกร้องได้ครบ 1.7 หมื่นล้านบาท จะมีอัพไซด์ 7.6 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมาย 28 บาท
อย่างไรก็ตาม คาดบริษัทมีโอกาสบันทึกเงินชดเชยเป็นรายการพิเศษในไตรมาส 1/68โดยคาดมูลค่าเงินชดเชยจะส่งให้ประมาณการกำไรปี 68 มี upside ไม่ต่ำกว่า 79%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.88% มาปิดที่ระดับราคา 27.0 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 877 ล้านบาท
อนึ่งเมื่อวันที่ (24 ม.ค. 68) ราคาหุ้น TOP ปิดที่ระดับ 27.00 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 5.88% มูลค่าการซื้อขาย 877.87 ล้านบาท