TTB วิ่ง 4% รับซื้อหุ้นคืน 2.1 หมื่นล้าน ประเดิมรอบแรกปี 68 วงเงิน 7 พันลบ.
TTB วิ่ง 4% ซื้อหุ้นคืน 2.1 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี (68-70) ประเดิมรอบแรกซื้อหุ้นคืนปี 68 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 3.6% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด วงเงินไม่เกิน 7 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (28 ม.ค.68) ราคาหุ้น ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ณ เวลา 10:16 น. อยู่ที่ระดับ 1.97 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 3.14% สูงสุดที่ระดับ 2.02 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.96 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 832.31 ล้านบาท
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTB เปิดเผยเรื่องโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารฯ ครั้งที่ 1/2568 วานนี้ (28 ม.ค. 2568) ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 จนถึงปี 2570
ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนครั้งแรกในปี 2568 ด้วยวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 3.6% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยวิธีการซื้อด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงระหว่างวันที่ 3 ก.พ.-1 ส.ค. 2568
สำหรับการดำเนินการซื้อหุ้นคืนในปีที่ 2 และ 3 นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ในขณะนั้นๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงสภาพคล่องส่วนเกินของธนาคาร จำนวนหนี้ของธนาคารที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนในปีนั้นๆ และการได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการของธนาคารในการซื้อหุ้นคืนในแต่ละครั้ง
โดยข้อบังคับของธนาคารกำหนดให้การซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในจำนวนไม่เกินกว่า 10% ของทุนชำระแล้ว และเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริษัทในการอนุมัติการซื้อหุ้นดังกล่าว สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืน ถือเป็นหนึ่งในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ของธนาคาร โดยมีจุดประสงค์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
และเมื่อพิจารณาฐานะเงินกองทุนของธนาคารนับตั้งแต่รวมกิจการ พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุน 19.3% ซึ่งอยู่สูงในระดับเดียวกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (D-SIBs) และสูงเกินจากเกณฑ์ชั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ที่ 12.0% อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารสามารถปรับลดส่วนเกินดังกล่าวให้มีความเหมาะสมมากขึ้นได้ โดยที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงและแผนธุรกิจของธนาคารในอนาคต อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น จึงเป็นที่มาของโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้
ภายหลังการซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตามการลดลงของมูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้น และการลดลงของจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เทียบกับระดับ ROE ในปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.0% และ EPS ที่ 0.22 บาท ขณะที่ประเมินว่า อัตราส่วนเงินกองทุนภายหลังการซื้อหุ้นคืนในปี 2568 ดังกล่าวจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 19% ยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อการเติบโตสินเชื่อตามแผนธุรกิจ