5 หุ้นวิ่ง! รับครม. ไฟเขียว “Financial Hub” ดันไทยศูนย์กลางการเงิน

5 หุ้น “AMATA-BE8-BBIK-BBL-SCB” บวกคึก! ตอบรับ ครม.ไฟเขียวร่าง “Financial Hub” ตั้งเป้าดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินโลก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 ก.พ.68) ณ เวลา 10:05 น. ราคาหุ้น บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA อยู่ที่ระดับ 24.80 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.40% สูงสุดที่ระดับ 25.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 24.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.80 ล้านบาท

บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 อยู่ที่ระดับ 14.50 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.11% สูงสุดที่ระดับ 14.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.72 ล้านบาท

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK อยู่ที่ระดับ 34.75 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 3.73% สูงสุดที่ระดับ 35.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 34.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.63 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL อยู่ที่ระดับ 154 บาท บวก 1 บาท หรือ 0.65% สูงสุดที่ระดับ 154.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 153.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 90.87 ล้านบาท

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB อยู่ที่ระดับ 127.50 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 0.39% สูงสุดที่ระดับ 127.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 126.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 104.76 ล้านบาท

ด้าน นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราภาษีธุรกิจด้านการเงินต่าง ๆ ที่สูงกว่าศูนย์กลางทางการเงินประเทศอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์ และดูไบ ดังนั้นไทยต้องลดภาษีให้กับผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงดูดเม็ดเงินได้มากขึ้น

ทั้งนี้ จากการที่ครม.ผ่านร่าง Fin Hub จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยหลายด้าน คือดึงธุรกิจทางการเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย บวกกับทำให้แรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น, การพัฒนาธุรกิจทางการเงินในไทย, การจ้างงานในประเทศ และการถ่ายทอดทักษะและเทคโนโลยีต่อแรงงานไทย ส่วนกลุ่มหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์คือกลุ่มนิคมฯ, หุ้นลงทุนเทคฯ ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT, บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET

กลุ่มท่องเที่ยว คือ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC

กลุ่มการเงิน คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO

และกลุ่มอุปโภค-บริโภค ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS กล่าวว่า จากประเด็นการผลักดันไทยเป็น Financial Hub นั้น ประเมินเป็นบวกต่อเศรษฐกิจระยะกลางถึงยาว จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น การมีสถาบันการเงินต่างประเทศรองรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย รวมการขยายขอบเขตบริการทางการเงินคนไทยออกไปต่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร ในส่วนธุรกรรมการลงทุนและการเงินในประเทศโดยรวมจะเพิ่มขึ้น เน้นหุ้นธนาคารใหญ่ KBANK, BBL, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB

หุ้นนิคมอุตสาหกรรม จากการผลักดัน Financial Hub ส่วนหนึ่งคาดมีเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (FDI) และกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8, บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่มีโอกาสได้งานเกี่ยวข้องกับระบบดิจิทัลสถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้ามาเพิ่มเติม

Back to top button