TFM บวกแรง 8% รับกำไรปี 67 โต 5 เท่า แตะ 535 ล้านบาท เคาะจ่ายปันผล 0.77 บ.

TFM บวกแรง 8% รับกำไรปี 67 ทะลัก 535 ล้านบาท โต 513% ทำนิวไฮตั้งแต่เข้าตลาด พร้อมจ่ายปันผลอีก 0.77 บาทต่อหุ้น โดยขึ้นเครื่องหมาย XD 27 ก.พ. 2568 กำหนดวันที่จ่ายปันผล 10 เม.ย. 2568


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(14ก.พ.68) ราคาหุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ปรับตัวขึ้นแรง โดย ณ เวลา 11:32 น. อยู่ที่ระดับ 8.70 บาท บวก 0.65 บาท หรือ 8.07% ราคาสูงสุด 8.75 บาท ราคาต่ำสุด 8.45 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.27 ล้านบาท

โดย TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย รายงานผลประกอบการปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 535 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 87 ล้านบาท หรือ 513% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยโชว์ผลงานแกร่งสุดในรอบ 3 ปี พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.77 บาทต่อหุ้นสำหรับครึ่งปีหลัง รวมทั้งปีปันผล 1.07 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดตั้งแต่ TFM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ด้านนายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2567 เป็นช่วงเวลาที่ดีในการมุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการผลิต การจัดการพอร์ตสินค้า และการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในฐานะผู้นำที่ผลิตอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน โดยในปี 2567 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 5,365 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% จากปีก่อนหน้า ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิต การปรับกลยุทธ์การขายสินค้า และการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.77 บาทต่อหุ้น โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 27 ก.พ. 2568 กำหนดวันที่จ่ายปันผล  10 เม.ย. 2568 รวมทั้งปีปันผล 1.07 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงที่สุดตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2564

สำหรับสัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ในปี 2567 แบ่งเป็นยอดขายอาหารกุ้ง 62% อาหารปลา 30% อาหารสัตว์บก 7% และอื่นๆ ประมาณ 1% โดยอาหารกุ้งเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี โดยเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียที่ยอดขายปรับตัวขึ้นถึง 127% จากการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการขยายพื้นที่การขายสินค้าให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ในขณะที่ยอดขายอาหารกุ้งในประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอาหารกุ้งในประเทศ ในขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารปลาลดลง 6% เนื่องจากปริมาณการเลี้ยงปลากะพงที่ลดต่ำลงระหว่างปี

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันราคาปลากะพงปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ปริมาณการเลี้ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งขยายตลาดในกลุ่มอาหารปลาน้ำจืดเพิ่มเติม เช่น อาหารปลานิล ปลาทับทิม ปลาสลิด เป็นต้น เพื่อขยายฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงผ่านการบริหารพอร์ตสินค้า

“กลยุทธ์ในปี 2568 ของ TFM จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์มุ่งสู่ปี 2573 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน โดยเราจะมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ด้วยการขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ กลุ่มกุ้งและปลากะพงในประเทศไทย รวมถึง ขยายฐานธุรกิจในอินโดนีเซีย  ตลอดจนมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด รักษามาตรฐานการผลิต บริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ ภายใต้มาตรฐานการรับรองที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เราเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ได้รับการรับรอง ASC Feed แห่งแรกในเอเชีย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศไทย” นายพีระศักดิ์ กล่าว

Back to top button