MOSHI ดีด 2% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 58 บ. หลังกำไรปี 67 โต 28% แตะ 520 ล้านบาท

MOSHI ดีดบวก 2% หลังรายงานกำไรปี 67 เติบโต 28% แตะ 520 ล้านบาท อานิสงส์รับรู้รายได้ยอดขายจากสาขาใหม่ ผนวกกับการสาขาเดิมเพิ่มขึ้น ฟากบอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผล 0.80 บาท ขึ้น XD วันที่ 30 เม.ย.นี้ กำหนดจ่ายปันผล 23 พ.ค. 68 โบรกแนะนำซื้อราคาเป้า 58 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (28 ก.พ.68) ราคาหุ้น บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI ณ เวลา 10:43 น. อยู่ที่ระดับ 42.25 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 2.42% สูงสุดที่ระดับ 42.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 41.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24.56 ล้านบาท

โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 520.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 408.23 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากการดำเนินงานปี 67 อยู่ที่ 3,111.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 581.75 ล้านบาท หรือ 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสาขาใหม่จำนวน 34 สาขา (รวมสาขา Standalone ใกล้มหาวิทยาลัย 5 สาขา) และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) คิดเป็น 3.85% โดยกลุ่มสินค้าที่เติบโตโดดเด่น ได้แก่ ของใช้ในบ้าน, อุปกรณ์เสริมความงาม, สินค้าแฟชั่น, กล่องสุ่ม และของเล่น

อีกทั้ง ยังมีสินค้าลิขสิทธิ์หลากหลายคอลเลกชันใหญ่อย่าง Snoopy, Sanrio Characters และ Disney รวมถึงการคอลแลปคาแรคเตอร์ศิลปิน K-POP และคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนต่างๆอีก มากมาย ส่งผลให้มีลูกค้าเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนรายได้จากการดำเนินงานมาจากธุรกิจค้าปลีกคิดเป็น 82.20% ธุรกิจค้าส่ง คิดเป็น 15.60% ช่องทาง Online และอื่นๆ คิดเป็น 1.80% และกิจการร่วมค้าฯ คิดเป็น 0.40% ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงาน ปี 67 รวมรายได้จากกิจการร่วมค้าฯ จำนวน 11.57 ล้านบาท

โดย ณ สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 67 มีสารวมทั้งสิ้น 164 สาขา ประกอบด้วยร้าน Moshi Moshi จำนวน 159 สาขา ร้าน Gartic จำนวน 3 สาชา ร้าน Giant จำนวน 1 สาขา และร้าน OK Station จำนวน 1 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ 62 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยในปี2567 บริษัทฯ ไม่มีการขยายสาขาค้าส่ง และร้านสาขา Garic

นอกจากนี้ การเติบโตของกำไรดังกล่าวยังมาจากรายได้จากทุกช่องทางทั้งจากอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) การเปิดสาขาใหม่ การนำเสนอผลิตภัตฑ์ที่หลากหลาย มีเอกลักษณ์ อีกทั้ง ยังมีสินค้าลิขสิทธิ์หลากหลายคอลเลกชันใหญ่อย่าง Snoopy, Sanrio Characters, Disney รวมถึงการคอลแลปกับคาแรคเตอร์ศิลปิน K-POP ศิลปินนักวาดชาวไทย และคาแรคเตอร์ตัวสาร์ตนต่างๆ อีกมากมาย ส่งผลให้มีลกค้าใช้บริการ

ขณะที่ แนวโน้มธุรกิจค้าปลีก ปี 68 และการแข่งขันของอุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์ มีแนวโน้มเติบโตจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล

รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนโควิด-19 โดยอยู่ที่ประมาณ 39 ล้านคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายของห้างสรรพสินค้าในเมืองท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกยังเผชิญความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคต้นทุนดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าพลังงาน อัตราดอกเบี้ย และค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนี้ ตลาดค้าปลีกมีการแข่งขันสูงเนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากและการเข้าสู่ตลาดทำได้ง่าย

สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่ สินค้าจำเป็น เช่น สินค้าบริโภคในชีวิตประจำวัน ขณะที่ สินค้าพุ่มเฟือย เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และของตกแต่งบ้าน อาจเผชิญภาวะชะลอตัว นอกจากนี้ สินค้าบางกลุ่มยังได้รับแรงกดดันจากสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นในตลาดไทยโดยรวมแล้ว แม้ธุรกิจค้าปลีกจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากกำลังซื้อที่เปราะบางและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ บริษัทเตรียมปันผลงวดการดำเนินงาน 1 ม.ค. 67 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 67 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 30 เม.ย. 68 และกำหนดจ่ายปันผล วันที่ 23 พ.ค. 68

ทั้งนี้ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ยังคงคำแนะนา “ซื้อ” MOSHI ที่ราคาเป้าหมาย 58.00 บาท หลังบริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 อยู่ที่  206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 90.40% จากไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าคาดเล็กน้อย

โดยก่อนนห้านี้ตลาดคาดการณ์กำไรอยู่ที่อยู่ที่ 194 ล้านบาท ส่วนนักวิเคราะห์คาดอยู่ที่ 190 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต คือ 1) รายได้ อยู่ที่ 1,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 42.30% จากไตรมาสก่อนหน้าได้รับแรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อยู่ที่ 15.40% จากช่วงเทศกาล และการเปิดตัวสินค้าใหม่

2.) กำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 53.30% ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.50% จากไตรมาสก่อนหน้ามาจากการปรับกลยุทธ์ราคาและการขายสินค้ากลุ่มมาร์จิ้นสูง 3.) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) อยู่ที่ 288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการขยายสาขา รวมถึงแคมเปญปลายปี 4.) ขาดทุนจากกิจการร่วมค้า (JV) อยู่ที่ 12.47 ล้านบาท (คิดเป็น 6.10% ของกำไรสุทธิ) โดยมีรายได้จาก JV อยู่ที่ 5.17 ล้านบาท ( คิดเป็น 0.50% ของรายได้รวม)

Back to top button