
EGCO เด้ง 1% เล็งปิดดีลโรงไฟฟ้า 5 โครงการ กำลังผลิต 1 พันเมกฯ โบรกชูเป้า 130 บาท
EGCO เด้ง 1% เตรียมปิดดีลโรงไฟฟ้า 4-5 โครงการในไตรมาส 2/68 กำลังผลิต 1,000 MW พ่วงแจกปันผล 3.25 บาท ยีลด์เด่น 6.8% โบรกมองกำไรไตรมาส 1/68 โตแรง รับหยุนหลินเต็มปี-บุ๊กกำไรพิเศษ ให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 มี.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ณ เวลา 11:00 น. อยู่ที่ระดับ 97.00 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 0.78% สูงสุดที่ระดับ 97.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 94.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 42.92 ล้านบาท
ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO กล่าวว่า การดำเนินงานในปี 2568 EGCO เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “Triple P” ที่มีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรในทุกมิติ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
โดยมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อเป้าหมาย Net Zero Carbon ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบการควบรวมและซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions – M&A) และการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield) ตลอดจนแสวงหาโอกาสการลงทุนธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดและเน้นการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจและพันธมิตรอยู่แล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดไฟฟ้าและพลังงานที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก รวมถึงเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจที่สำคัญของ EGCO ที่ได้เข้าไปลงทุนมาอย่างต่อเนื่องช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
“ปัจจุบัน EGCO มีโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาประมาณ 4-5 โครงการ รวมกำลังผลิตมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนของการเจรจาและได้ข้อสรุปประมาณไตรมาสที่ 2 ของปีนี้” ดร.จิราพร กล่าว
ส่วนปี 2567 เอ็กโก สามารถบริหารและจัดการการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิง ต้นทุนทางการเงิน และสินทรัพย์ในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้รวม 46,341 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 9,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรสุทธิ 5,412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,796 ล้านบาท หรือ 165% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ EGCO Group มีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ได้แก่ Yunlin ในไต้หวัน มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ปัจจุบัน Yunlin ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 80 ต้น รวมกำลังผลิต 640 เมกะวัตต์ เรียบร้อยแล้ว Quezon ในฟิลิปปินส์ มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น Nam Thuen 2 ใน สปป.ลาว มีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยบวกสำคัญยังมาจากโรงไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ APEX ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ ที่รับรู้รายได้จากการขายโครงการเพิ่มขึ้น และกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ที่ EGCO เริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าไปถือหุ้น 50% เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567
จากพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคงและมีกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ทำให้ EGCO Group มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังตอกย้ำนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ในฐานะหุ้นปันผลที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ประจำปี 2568 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2567 ในอัตรา 3.25 บาท/หุ้น หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุม AGM ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 เมษายน 2568 จะทำให้ทั้งปี 2567 มียอดจ่ายเงินปันผลทั้งหมด 6.50 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 6% โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2568
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุทิศทางกำไรไตรมาส 1/2568 ของ EGCO คาดการณ์แนวโน้มกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานต่ำที่โรงไฟฟ้า IPP หลายโรงหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 1/2567 หยุนหลินเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ครบทั้งหมดแล้ว ปริมาณน้ำของ Hydro ใน สปป.ลาว โดยเฉพาะไซยะบุรีเพิ่มขึ้น
รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยจ่ายลดลง ขณะที่กำไรสุทธิจะได้แรงหนุนจากกำไรพิเศษจากการขาย RISEC Holdings, LLC (RISEC) และการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Boco Rock Wind Farm (BRWF) คาดการณ์ดีลเสร็จสมบูรณ์ไตรมาส 1/2568 โดยไม่เพียงแต่บันทึกกำไรพิเศษเท่านั้น แต่จะช่วยเพิ่มกำไรปกติด้วย เนื่องจาก Risec ขาดทุน 186 ล้านบาท และ BRWF ขาดทุน 25 ล้านบาท ในปีที่แล้ว ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 130 บาท จากอัตราเงินปันผลที่สูง 6.8% ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนระยะยาวเพื่อเงินปันผล