INTUCH คาดรายได้ปีนี้โต 3-5% คาดอัตราจ่ายเงินปันผลเท่าเดิม
INTUCH คาดรายได้ปีนี้โต 3-5% จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐ คาดอัตราจ่ายเงินปันผลเท่าเดิม
บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ระบุว่า บริษัทคาดว่ารายได้จากการขายและการให้บริการปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3-5 จากปี 2558 รวมทั้งจะรับรู้ผลการดำเนินงานของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC หรือ เอไอเอส ในสัดส่วนร้อยละ 40.45 และรับรู้ผลการดำเนินงานของแอลทีซีและไฮ ช็อปปิ้งตามสัดส่วนการถือหุ้น พร้อมวางวงเงินงบประมาณสำหรับ Venture Capital ไม่เกินปีละ 200 ล้านบาท และคาดว่าจะคงอัตราการจ่ายเงินปันผลเช่นเดิม
ทั้งนี้รายได้จากการขายและการให้บริการในงบการเงินรวมของบริษัท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและการให้บริการของกลุ่มบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM และไอทีเอเอส โดยรายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2558 เติบโตร้อยละ 5 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการดาวเทียม ขณะที่ในปีนี้รายได้จากการขายและให้บริการของไทยคมยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากความต้องการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมที่ยังมีอยู่ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆในภูมิภาค โดยไทยคมคาดว่าจะนำดาวเทียมไทยคม 8 ขึ้นสู่วงโคจรในช่วงครึ่งแรกปี 2559 ซึ่งจะผลักดันให้รายได้ไทยคมเติบโตขึ้นอีกทางหนึ่ง และผลักดันให้รายได้จากการขายและการให้บริการของอินทัชเติบโตได้ร้อยละ 3-5 ในปี 2559
โดยในปี 2559 คาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจจะมีการเติบโตดีขึ้นกว่าปี 2558 เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐ ทางด้านภาวะอุตสาหกรรมคาดว่าจะมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นในด้านคุณภาพและการนำเสนอคอนเทนต์ใหม่ๆ โดยเอไอเอสคาดว่ารายได้จากการให้บริการ (ที่ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย) จะคงที่จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากการหยุดให้บริการ 2G ขณะเดียวกันเอไอเอสสามารถให้บริการ 4G บนคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ที่ได้รับใบอนุญาตเมื่อ พ.ย. 2558 โดยได้ขยายโครงข่าย 4G ไปแล้วถึง 42 จังหวัดและคาดว่าจะขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม 77 จังหวัดหรือครอบคลุมประชากรร้อยละ 50 ได้ภายในสิ้นปีนี้
ขณะเดียวกันเอไอเอสยังคงเดินหน้าลงทุนขยายโครงข่าย 3G เพื่อให้มีการครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเอไอเอสได้ตั้งงบลงทุนในปี 2559 ไว้ทั้งสิ้น 4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการลงทุนขยายโครงข่าย 4G เป็นหลัก
ขณะที่ในปีนี้ เอไอเอสคาดว่าอัตรา EBITDA margin จะลดลงอยู่ ที่ ประมาณร้อยละ 37-38 ต่ำกว่าปี 2558 ที่อยู่ระดับร้อยละ 45.6 เนื่องจากการคาดการณ์รายได้ที่คงที่ ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายในการโอนย้ายลูกค้าจากโครงข่าย 2G มาเป็น 3G รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับทีโอที แม้ต้นทุนค่าธรรมเนียมและส่วนแบ่งรายได้ จะลดลงเหลือใกล้เคียงร้อยละ 5.25 ก็ตาม
นอกจากนี้เอไอเอส ยังคงกลยุทธ์การขายเครื่องโทรศัพท์ราคาย่อมเยา แต่คาดว่าการแข่งขันจะไม่รุนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา มีผลให้รายได้จากการขายเครื่องโทรศัพท์จะคงที่ โดยมีอัตรากำไรจากการขายเครื่องได้ที่ร้อยละ 3-4 จากการประเมินผลการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2559 เอไอเอสคาดว่าจะสามารถคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ร้อยละ 100 ได้
สำหรับภายใต้โครงการ InVent อินทัชจะเข้าไปถือหุ้นในแต่ละกิจการด้วยสัดส่วนประมาณไม่เกินร้อยละ 30 อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของกิจการเหล่านั้นยังคงไม่มากนัก โดยประมาณการว่าจะใช้เงินลงทุนปีละไม่เกิน 200 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอลคอนเทนต์ โดยเข้าลงทุนธุรกิจที่อยู่ในระดับ series A หรือ B คือมีการพัฒนาสินค้าหรือบริการมาระดับหนึ่งแล้วและต้องการเงินลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาต่อ ซึ่งธุรกิจที่อยู่ในระดับดังกล่าวมีจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน
โดย ณ สิ้นปี 2558 อินทัชได้ลงทุนไปแล้วทั้งสิ้น 8 บริษัท โดยเป็นการเข้าลงทุนใหม่ 4 บริษัทในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยบริษัท ซินโนส จำกัด (ผู้ผลิตและพัฒนาเกมบนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน) บริษัท เพลย์ เบสิส พีทีอี ลิมิเตด (ให้บริการและพัฒนาระบบการประยุกต์แนวคิดจากเกมไปใช้ประโยชน์ ด้านอื่นๆ) บริษัท กอล์ฟดิกก์ จำกัด(พัฒนาแอพพลิเคชั่นการจองสนามกอล์ฟผ่านสมาร์ทโฟน) และบริษัท ชอปสปอท โมบิลิตี้ พีทีอี ลิ มิเต็ด (พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับซื้อขายของออนไลน์ ในรูปแบบโซเชียลคอมเมิร์ซ) โดยเมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา อินทัชได้ขายเงินลงทุนในบริษัท คอมพิวเตอร์โลจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่อินทัชได้เข้าลงทุนตั้งแต่ ปี 2556 เพื่อให้บริษัทดังกล่าวเติบโตต่อไปโดยการใช้ศักยภาพของผู้ร่วมลงทุนใหม่ได้ อย่างเต็มที่
ส่วนปัจจัยสำคัญที่อาจมีอิทธิพลและมีผลกระทบต่อฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต เนื่องจากบริษัทประกอบธุรก จการลงทุนโดยการเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น ดังนั้นปัจจัยที่ มีผลต่อฐานะการเงินหรือ ผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญของบริษัทที่ เข้าลงทุน จึงเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทด้วย