
MONO วิ่ง 10% นำทีม “ทีวีดิจิทัล” สบหารายได้ใหม่! หลัง กสทช.บ้อท่าคุมแพลตฟอร์ม OTT
MONO บวกแรง 10% นำทีม “ทีวีดิจิทัล” สบหารายได้ใหม่! หลัง กสทช.บ้อท่าคุมแพลตฟอร์ม OTT ด้าน “บล.บัวหลวง” มอง OTT เป็นช่องทางหารายได้ใหม่ของกลุ่มทีวีดิจิทัล MONO-TRUE-ONEE-BEC เพื่อชดเชยผลขาดทุนจากไลเซนส์ทีวี “โมโน” เด่นสุด ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกลางปีนี้ ดันรายได้เพิ่มปีละ 100-200 ล้านบาท จากสมาชิก 1 ล้านราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นกลุ่มทีวีดิจิทัลบวกคึกนำโดย บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ณ เวลา 11:53 น. อยู่ที่ระดับ 1.37 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 9.60% ราคาสูงสุด 1.38 บาท ราคาต่ำสุด 1.22 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 190.74 ล้านบาท
บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE ณ เวลา 11:56 น. อยู่ที่ระดับ 2.74 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 2.24% ราคาสูงสุด 2.74 บาท ราคาต่ำสุด 2.66 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.73 ล้านบาท
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 11:58 น. อยู่ที่ระดับ 11.00 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.94% ราคาสูงสุด 11.10 บาท ราคาต่ำสุด 10.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 491.74 ล้านบาท
ทั้งนี้จากกรณีสื่อประเภทแพลตฟอร์ม OTT (Over-The-Top) ล่าสุดไม่อยู่ภายใต้การควบคุมกำกับดูแลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโทรคมนาคมและทีวีดิจิทัลช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากนิยามตามกฎหมายปัจจุบันกำหนดให้กสทช.ดูแลกิจการที่เป็นการแพร่ภาพและกระจายเสียงแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ไม่รวม OTT
โดย OTT เป็นรูปแบบการให้บริการเนื้อหาวิดีโอและรายการโทรทัศน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยตรงถึงผู้บริโภค โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ให้บริการเคเบิลทีวี หรือดาวเทียม เช่น การรับชมผ่าน YouTube, Netflix หรือสตรีมมิ่งอื่น ๆ
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยว่า กรณีของ OTT ขณะนี้กสทช.ยังไม่มีการออกเกณฑ์ควบคุมแต่อย่างใด เนื่องจากกสทช.ยังไม่ได้กำกับดูแลในส่วนนี้ ตามพ.ร.บ.กสทช.ไม่ได้ให้อำนาจในการกำกับกรณีดังกล่าวไว้
โดยปัจจุบันมีบริษัทในประเทศไทยที่เป็นเจ้าของให้บริการ OTT อย่างเช่นบริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ที่ทั้งคอนเทนต์ของตัวเอง และมีการซื้อคอนเทนต์อื่น ๆ เข้ามาด้วย และมีช่องทีวีดิจิทัลที่ผลิตคอนเทนต์เองออกมาเฉพาะบนแพลตฟอร์มของตัวเอง อาทิ บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE และบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC เป็นต้น
ส่วนกรณีของทีวีดิจิทัลที่กำลังจะหมดสัมปทานปี 2572 คณะกรรมการกสทช.อยู่ระหว่างการพิจารณาการดำเนินการอยู่ ตามพ.ร.บ.กำหนดให้ต้องประมูลใหม่ส่วนรูปแบบขั้นตอนว่าจะประมูลแบบไหน คณะกรรมการกสทช.ยังไม่ได้มีการพิจารณาตัดสินใจ ขณะนี้ให้ที่ปรึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างทำการศึกษาอยู่พิจารณาผลกระทบ อาทิเช่น จำนวนช่องอาจปรับลดลงให้เหมาะสม
นพ.สรณ (หมอไห่) บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การกำกับดูแล OTT ควรผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลต้องพิจารณาออกกฎหมายใหม่ หรือปรับปรุงกฎหมายเดิมผ่านกระบวนการในรัฐสภา พร้อมทั้งต้องประเมินความเป็นไปได้ของการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มที่มีฐานในต่างประเทศ
ปล่อยผีทีวีดิจิทัลทำ OTT
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันมีบริษัทในประเทศไทยที่เป็นเจ้าของการให้บริการ OTT อย่างเช่น ช่อง 3 มีแอปพลิเคชัน 3Plus และโมเดลจ่ายค่าสมาชิกผ่าน 3Plus Premium, ช่อง 7 มี BUGABOO TV ,ช่องโมโน 29 มี MONOMAX และ GIGATV ช่องวัน 31 มี oneD
โดยก่อนหน้านี้กสทช.ได้พยายามออกกฎเกณฑ์ควบคุมกำกับดูแล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะกสทช.ไม่มีอำนาจในการควบคุมกำกับดูแล โดยมองในมุมกลับ หากไม่ควบคุม OTT อาจไปกระทบในส่วนของธุรกิจทีวีหรือไม่ หรือจะมีการผ่อนปรนในส่วนของธุรกิจทีวี โดยเฉพาะลดข้อจำกัดด้านคอนเทนต์และโฆษณา จะส่งผลบวกกับธุรกิจทีวี ทำให้ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น
ส่วนสัมปทานทีวีดิจิทัลที่จะหมดอายุสัญญาในปี 2572 ปัจจุบัน กสทช.ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร เนื่องจากยังไม่รู้ว่าในช่วงหมดสัมปทานตัวเทคโนโลยีจะมีลักษณะแบบใด แต่มองว่ากว่าจะถึงตอนนั้นจำนวนช่องน่าจะหายไปอีก เพราะปัจจุบันธุรกิจทีวีก็ได้รับผลกระทบไปมาก หากไม่มีการประมูลและปล่อยให้ปกติก็น่าจะดีขึ้น เพราะธุรกิจทีวีจะได้ไม่ต้องแบกรับต้นทุนการประมูลใบอนุญาต
“ปัจจุบันหลายบริษัทก็กระจายไปทำแพลตฟอร์ม OTT ของตัวเอง อีกมุมเป็นข้อดีที่ไม่ต้องแบกรับค่าประมูลใบอนุญาต และลดการแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด”
สำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์ม หากมีระบบก็สามารถทำได้เลย ขณะที่ทีวีต้องแบกรับต้นทุนภาระค่าใบอนุญาต และมีกฎระเบียบควบคุม รวมถึงการลงทุนทำสถานีฯ จึงมีต้นทุนที่สูงกว่า การที่ทีวีมาทำเพิ่มในฝั่งของออนไลน์ก็จะทำให้มาร์จิ้นดีขึ้น แต่มองว่าทีวีก็ยังต้องมี หากไปดูข้อมูลของ Nelson พบว่ายังมีเม็ดเงินกว่า 40% ที่มาจากมาร์เก็ตแชร์ของตัวโฆษณา เพราะทีวียังเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้มากอยู่ ขณะเดียวกันปีที่ผ่านมาในไทยหากคิดเป็นเม็ดเงินจากโฆษณาทั้งระบบทีวีและออนไลน์ฯ รวมทั้งหมดประมาณ 110,000 ล้านบาท
MONO โดดเด่นสุด
อย่างไรก็ตาม มองว่าผู้ประกอบการที่ปรับตัวไปใช้ OTT ได้เร็ว และสามารถสร้างคอนเทนต์เองได้ด้วยยิ่งได้เปรียบ ในการสร้างรายได้ได้หลายช่องทางยิ่งเป็นบวก โอกาสของธุรกิจทีวีก็จะดีขึ้น โดยปีนี้ในกลุ่มธุรกิจทีวี MONO โดดเด่นจากการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่จะเริ่มช่วงกลางปีนี้ และไม่ต้องแบกรับต้นทุน มีการแบ่งรายได้กับทางบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ความพร้อมด้านแพลตฟอร์มมีอยู่แล้ว รายได้ส่วนเพิ่มก็จะมาที่ MONO จึงมองว่าเป็นหุ้นที่เด่น
ทั้งนี้ ประเมินเบื้องต้นว่า หาก MONO มีลูกค้าประมาณ 1 ล้านราย กำไรส่วนเพิ่มน่าจะอยู่ที่ 100-200 ล้านบาทต่อปี ถ้าไปถึงตามเป้าหมายที่ 3 ล้านราย ก็น่าจะอยู่ที่ 500-600 ล้านบาทต่อปี