
MAGURO วิ่ง 3% ตั้งเป้าปี 68 โกยรายได้ 1.8 พันล้าน ลุยขยาย 10 สาขาใหม่
MAGURO บวก 3% ลุ้นรายได้ปี 68 เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% แตะ 1,800 ล้านบาท อานิสงส์บุ๊กรายได้เต็มปีจากสาขาที่เปิดในปี 67 และมีแผนเปิดเพิ่ม 10 สาขา หนุนยอดขายเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 มี.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ณ เวลา 10:31 น. อยู่ที่ระดับ 19.20 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.67% สูงสุดที่ระดับ 19.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 18.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.96 ล้านบาท
นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,800 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีรายได้จากการขาย และบริการรวม 1,378.2 ล้านบาท โดยเป็นไปตามการ รับรู้รายได้เต็มปีจากสาขาที่เปิดใหม่ในปี 2567 และจากการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง
โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีร้านอาหารรวมแบ่งเป็น 5 แบรนด์ ได้แก่
1.แบรนด์ MAGURO – “GIVE MORE” ร้านซูชิระดับพรีเมียม ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงจำนวน 18 สาขา มีกลุ่มลูกค้า คือ ครอบครัว คู่รัก และวัยทำงาน 36-45 ปี
2.แบรนด์ SSAMTHING TOGETHER – “Let’s Share SSAMTHING TOGETHER” ร้านอาหารปิ้งย่างเกาหลีแท้ จำนวน 6 สาขา มีกลุ่มลูกค้า คือ วัยทำงานและคู่รัก 26-35 ปี
3.แบรนด์ HITORI SHABU – “Deep Love for Shabu” ร้านชาบูและสุกี้ยากี้ญี่ปุ่นแบบ A La Carte จำนวน 12 สาขา มีกลุ่มลูกค้า คือ นักศึกษา วัยทำงาน และครอบครัว 22-45 ปี
4.แบรนด์ Tonkatsu Senmonten ร้านทงคัตสึต้นตำรับจากญี่ปุ่นจำนวน 1 สาขา มีกลุ่มลูกค้า คือ วัยทำงานและผู้ที่ชื่นชอบของทอด และ
5.Coucou – “I Coucou You All Day” ร้านอาหารตะวันตกแบบ All-day dining จำนวน 1 สาขา มีกลุ่มลูกค้า คือ นักศึกษาและวัยทำงาน 22-45 ปี
สำหรับในปี 2568 บริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่ประมาณ 10 สาขา และกำลังพิจารณาตัดสินใจจำนวนแบรนด์ของการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เพิ่มเติม หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ขณะที่บริษัทมองว่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยจะยังคงแข่งขันกันอย่างรุนแรงในปี 2568 ซึ่ง MAGURO มั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันในตลาดได้ ด้วยคุณภาพของแบรนด์ทุกแบรนด์ และวัตถุดิบที่ใช้เหมาะสมกับราคาที่จ่าย
ส่วนโครงสร้างสัดส่วนรายได้ของบริษัทยังคงมาจากแบรนด์ MAGURO เกิน 50% รองลงมาคือ แบรนด์ HITORI SHABU SSAMTHING TOGETHER และแบรนด์ใหม่ ซึ่งแบรนด์ที่เหลือ ยังมีการขยายตัว และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ต่อเนื่อง เพื่อบริหารและกระจายความเสี่ยงไม่พึ่งพาแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง
ด้านช่องทางสร้างรายได้จากการขายและบริการของเครือ MAGURO มีช่องทางรายได้มาจากทาง Dine-in ประมาณ 90% ทาง Delivery and Catering ประมาณ 8% และทาง Take away ประมาณ 2%
นอกจากนี้บริษัทประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 มีโอกาสเติบโตที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปี 2567 เนื่องจากต้นทุนราคาปลาแซลมอนในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมาราคาทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 300 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะที่ในไตรมาส 1/2568 บริษัทมียอดขายสาขาเดิม (SSSG) นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังติดลบ ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ซบเซา และกำลังซื้อของคนไทยยังไม่แข็งแรง