STECON วิ่งต่อ 6% หลังฮุบงานใหญ่กูเกิล “ดาต้า เซ็นเตอร์” 1.6 หมื่นล้าน

STECON บวกต่อ 6% หลังคว้างานดาต้าเซ็นเตอร์ 2 โครงการ มูลค่ารวมเฉียด 1.6 หมื่นล้านบาท จาก “ควอตซ์ คอมพิวติ้ง” บริษัทในเครือ Google ฟากโบรกเกอร์มองกำไรไตรมาส 1/68 เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติ พร้อมบุ๊กรายได้ปันผลพิเศษจาก GULF 222 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (17 มี.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เปิดตลาดบ่ายอยู่ที่ระดับ 5.35 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 5.94% สูงสุดที่ระดับ 5.55 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.15 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 77.55 ล้านบาท

นางสาวธีร์ชญาน์ วสุธารารัชต์ เลขานุการ STECON เปิดเผยว่า บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ CHIN-1A และโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ CHIN-2A รวมมูลค่าโครงการ 15,951 ล้านบาท จากบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง

ทั้งนี้ โครงการดาต้าเซ็นเตอร์ CHIN-1A มีระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 68 ถึง 8 เม.ย. 70 และโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ CHIN-2A มีระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 68 ถึง 11 ก.ค. 70

สำหรับการลงนามสัญญาดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพของ STEC ในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานและระบบดิจิทัลที่สำคัญ คาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโครงการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 67 ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการดาต้าเซ็นเตอร์จำนวน 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท และ บริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือ GDS มูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท

โดยโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง ในเครือ Alphabet Inc. (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google เป็นการลงทุนตามแผนธุรกิจที่ Google ได้ประกาศระหว่างการพบนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 67 ว่าจะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์และ Cloud Region แห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเป็นศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 5 ในเอเชียของ Google ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 70

ส่วนโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส ในเครือ GDS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำระดับโลก ที่ให้บริการทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการใหม่ในประเทศไทยตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการปี 69

โดยทั้ง 2 โครงการจะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ระดับ Hyperscale ที่มีขีดความสามารถในการประมวลผลสูง และสามารถรองรับการขยายตัวของการใช้บริการ Cloud Services ทั้งจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอัตราการใช้บริการออนไลน์และการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลในสัดส่วนที่สูง

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มไตรมาส 1/68 ของ STECON คาดมีกำไรปกติสูงขึ้น จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่กลับมาสู่ระดับปกติ และรายได้ปันผลพิเศษจากบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้ามาเสริมอีก 222 ล้านบาท STECON จะมีการปรับวิธีบันทึกบัญชีของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (EBM) และสายสีชมพู (NBM) (ปี 67 มีผลขาดทุนอยู่ในส่วนแบ่งกำไร 600 ล้านบาท) มาเป็นเงินลงทุนระยะยาว

ดังนั้น จะทำให้ตั้งแต่ปี 68 จะไม่มีการรับรู้ขาดทุนจาก 2 โครงการนี้เข้ามาในส่วนแบ่งฯ แต่จะต้องมีการประเมินมูลค่าโครงการใหม่ กำไร/ขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการประเมินมูลค่า จะกระทบต่องบกำไร/ขาดทุนในไตรมาส 1/68 ณ ไตรมาส 4/67 สายสีเหลืองมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 43,693 คน/เที่ยว/วัน และสายสีชมพูมีผู้โดยสารเฉลี่ย 58,324 คน/เที่ยว/วัน อ้างอิงจาก BTS คาดระยะเวลาคืนทุนอีก 6 ปี ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี สิ้นสุดปี 96 บริษัทอยู่ระหว่างประเมินมูลค่า ทางฝ่ายฯ ยังไม่ได้ปรับประมาณการในส่วนนี้ และใช้ P/BV ที่ 0.50 เท่า ราคาพื้นฐาน 5.80 บาท ปรับคำแนะนำลงเป็น “ทยอยซื้อ”

สำหรับปี 68 แผนการใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้น ทำให้เห็นแผนโครงการรัฐและเอกชนภายในปีนี้ ออกมาหลายโครงการ เช่น มอเตอเวย์ M5, M9, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, ทางด่วน N2 ประเสริฐมนูกิจ-วงแหวนฯ, ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง, สนามบิน AOT และโครงการอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 4.6 แสนล้านบาท แผนโครงการที่มากกว่าปีก่อน จะช่วยให้บริษัทรับเหมารายใหญ่กระจายรับงานได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารตั้งเป้ารับงาน 5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อน เป้ารายได้ก่อสร้าง 3.2 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน จากงานใหม่ที่เข้ามาในปี 67 สร้าง Backlog ได้สูงขึ้น มี GPM 7.0% กลับมาอยู่ระดับปกติจากการตั้งประมาณการค่าใช้จ่ายซ่อมอุโมงค์ฯ ทั้งจำนวนในปี 67 ปรับคาดการณ์กำไรปกติปีนี้เพิ่มขึ้น 91% มาอยู่ที่ 706 ล้านบาท

Back to top button