
KBANK เด้ง 3% เล็งซื้อหุ้นคืน! ขานรับ “ตลท.” แก้เกณฑ์ใหม่ สอดคล้องต่างประเทศ
KBANK เด้ง 3% เล็งซื้อหุ้นคืน! ขานรับ “ตลท." แก้เกณฑ์ใหม่สอดคล้องต่างประเทศ มั่นใจดันหุ้นไทยฟื้นตัว พร้อมแจงปันผลพิเศษ 2.50 บาท หวังสร้างผลตอบแทนให้เหมาะสม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(18มี.ค.68)ราคาหุ้นธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ณ เวลา 11:58 น. อยู่ที่ระดับ 156.50 บาท บวก 4.00 บาท หรือ 2.62% ราคาสูงสุด 157.00 บาท ราคาต่ำสุด 153.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.32 พันล้านบาท
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ธนาคารฯ สนับสนุนแนวคิดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเรื่องของ Share Buyback หรือซื้อหุ้นคืน ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) ที่มีการเสนอแก้ข้อกฎเกณฑ์ในพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อยกเลิกข้อจำกัดให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) สามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ธนาคารฯ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีพร้อมสนับสนุน หากแก้ไขกฎเกณฑ์ให้เทียบเคียงกับต่างประเทศ และมั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นขึ้นได้ สำหรับในส่วนของธนาคารกสิกรไทยก็พร้อมพิจารณาในเรื่องของการ “ซื้อหุ้นคืน” ด้วยเช่นกัน จึงอยากให้การแก้กฎเกณฑ์ดังกล่าวสำเร็จ
“เรื่องการซื้อหุ้นคืนของไทย เกณฑ์เดิมทำได้อย่างมากปีละ 2 ครั้ง ขณะที่ต่างประเทศ price per book ต่ำกว่า 1 เท่า Share Buyback เกิดขึ้นทำกันเป็นเรื่องปกติ” นางสาวขัตติยา กล่าวและว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ (7 มี.ค. 2568) นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ให้สัมษณ์ว่า จะสนับสนุนโครงการซื้อคืนหุ้นด้วยการยกเลิกทุกข้อจำกัด ได้แก่ เพดานซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10%, ต้องขายหุ้นที่ซื้อคืนภายใน 3 ปี และต้องรอให้โครงการเดิมจบไปก่อน 6 เดือน จึงจะสามารถซื้อหุ้นคืนได้อีก เป็นต้น เพราะตลท.มองว่าจะช่วยให้บริษัทที่มีเงินในมือสามารถบริหารสภาพคล่องได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มมูลค่าจากการนำหุ้นที่ซื้อคืนไปลดทุนฯ เชื่อว่าจะทำให้มีบจ.ซื้อหุ้นคืนมากขึ้นกว่าในปัจจุบันที่มีอยู่ราว 15 บริษัทในแต่ละปี
นางสาวขัตติยา กล่าวอีกว่า ล่าสุดคณะกรรมการธนาคารได้มีมติเห็นชอบการจ่ายเงินบันผลกรณีพิเศษ ดังนี้ 1.จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2567 แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท ทั้งนี้ธนาคารได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2567 ในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท และได้เสนอขออนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 9 เม.ย. 2568 ในอัตราหุ้นละ 8 บาท
เมื่อรวมกับการเสนอขอจ่ายเงินปันผลเป็นกรณีพิเศษครั้งนี้ ในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท รวมเป็น 12 บาท โดยกําหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 16 พ.ค. 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 มิ.ย. 2568 โดยการจ่ายปันผลพิเศษนี้ ธนาคารมีการพิจารณาหลังจากเดินทางไปให้ข้อมูลกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในต่างประเทศช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่ส่วนใหญ่ให้ความสนใจถึงเงินกองทุนที่อยู่ในระดับสูงเกินไป เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจไทยที่ไม่เติบโต มองว่าไม่มีความจำเป็นที่ธนาคารจะเก็บเงินทุนไว้ในระดับสูง
“ผู้ถือหุ้นไม่ได้ติดใจหรือสงสัยเรื่องแผนการเติบโตของสินเชื่อ หรืออัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า 2 หลัก ภายในปี 2569 แต่ให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นทุกภาคส่วน สำหรับการจ่ายปันผลพิเศษนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของธนาคาร และอยู่ระหว่างการกำหนด Dividend payout ว่าจะอยู่ในระดับใด จากอดีตอยู่ที่ 25% และในปี 2567 อยู่ที่ 37% ประกอบกับจะมีการกำหนดจ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง เนื่องจากในต่างประเทศกำหนดจ่ายปันผลทุก ๆ ไตรมาส” นางสาวขัตติยา กล่าว
นางสาวขัตติยา กล่าวอีกว่า ยังคงเป้าหมายตัวเลขทางการเงินในระดับเดิม แม้จะมีความท้าทายและยากลำบากพอสมควร ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ทั้งนี้ การรักษาเป้าการเติบโตของกำไรปี 2568 ได้ ยังเป็นรายได้ที่ไม่ใช้ดอกเบี้ย (ค่าฟี) เป็นหลัก คือ ธุรกรรมการค้า การบริการ การกู้ยืม และการลงทุนระหว่างประเทศ อย่าง Foreign Exchange Transaction : FX) ที่สร้างรายได้หลักให้กับธุรกิจ ขณะเดียวกันธุรกรรมเกี่ยวกับสินเชื่อ ธนาคารยังคงเป้าหมายสนับสนุนลูกค้ามียังมีโอกาสเติบโตและพร้อมที่จะสู้ไปกับธนาคารฯ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาครัฐจะย้ำในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อรายย่อยมากขึ้นก็ตาม
โดยวันนี้ (18 มี.ค. 2568) สมาคมธนาคารไทยพร้อมด้วยสมาชิก จะมีการหารือร่วมกับนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อเพื่อนสนับสนุนลูกค้ากลุ่มรายย่อย โดยตนเองพร้อมเข้าร่วมให้ข้อมูลในมุมมองต่าง ๆ ส่วนข้อสรุปหรือแถลงการณ์การประชุม ทางประธานสมาคมฯ จะเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับภาพรวมสินเชื่อไตรมาส 1/2568 ยังทรงตัวเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยสินเชื่อที่ยังมีการเติบโต เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อบัตรเครดิต ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่จะกลับมาขยายตัวได้ในช่วงไตรมาส 2/2568 และไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป เนื่องจากลูกค้ามีการลงทุนไปในช่วงไตรมาส 4/2567 และไตรมาส 1/2568 มีการชำระคืนเข้ามามาก ประกอบกับ นักลงทุนต่างชาติรอดูนโยบายการลงทุนจากภาครัฐบาลว่าจะมีโครงการขนาดใหญ่หรือไม่ เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ อินฟราสตักเจอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการกระตุ้นระยะสั้นเท่านั้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อการประกาศจ่ายปันผลพิเศษของธนาคารกสิกรไทยที่ 2.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ 1.7% โดยกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 พ.ค. 2568 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 มิ.ย. 2568
โดยการจ่ายปันผลพิเศษครั้งนี้ส่งผลให้เงินปันผลรวมของปี 2567 อยู่ที่ 12 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 59% เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปี 2566 โดย KBANK มีเป้าหมายใช้กลยุทธ์บริหารเงินทุน (Capital Management) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ให้สูงขึ้นแตะระดับเลขสองหลัก (Double Digit) ภายในปี 2569 จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น KBANK และให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 178 บาท โดยยังคงเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร ควบคู่กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่มีคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 27 บาท เนื่องจากปัจจัยหนุนหลัก ได้แก่
1.แนวโน้มค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (Credit Cost) ปรับตัวลดลง กลับสู่ระดับปกติที่ 1.40-1.60% ในปี 2568
2.กำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโต 9% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มธนาคารที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4%
และ 3.โอกาสปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล และ ROE ในอนาคต ตามกลยุทธ์การบริหารเงินทุนของ KBANK
“การประกาศจ่ายปันผลพิเศษครั้งนี้สะท้อนถึงความสามารถของ KBANK ในการบริหารสภาพคล่องและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของธนาคารในระยะยาว” บล.กรุงศรี ระบุ