
KLINIQ ดีดบวก 4% ส่งซิกปี 68 โตไม่หยุด! ปักธงรายได้ทะยาน 3.5 พันล้าน
KLINIQ ดีดบวก 4% ส่งซิกปี 68 โตต่อเนื่อง คาดรายได้พุ่ง 3,500 ล้านบาท รับแผนการขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 10 สาขา จากสิ้นปี 67 มีทั้งหมด 72 สาขา ตั้งเป้าอัตราส่วนกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้นระดับ 12% ส่วนรายได้ไตรมาส 1/68 ทำได้ตามเป้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19มี.ค.68)ราคาหุ้นบริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ณ เวลา 14:47 น. อยู่ที่ระดับ 31.50 บาท บวก 1.25 บาท ราคาสูงสุด 31.75 บาท ราคาต่ำสุด 30.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 22.39 ล้านบาท
ด้านนายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2568 ไว้ที่ 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 500 ล้านบาท จากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 3,009 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายมีอัตราส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 12% เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 10.8% ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/2568 การให้บริการยังดีต่อเนื่อง ทำให้รายได้เติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับการเติบโตของรายได้ในปีนี้ มาจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากสาขาใหม่ที่เปิดในปี 2567 โดยปัจจุบัน KLINIQ มีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศรวม 72 สาขา แบ่งเป็น THE KLINIQUE จำนวน 45 สาขา L.A.B.X จำนวน 23 สาขา THE KLINIQUE Surgery จำนวน 1 สาขา KLINIQ Wellness & Anti-Aging จำนวน 2 สาขา แบรนด์ L’ จำนวน 1 สาขา
“ในปี 2568 บริษัทมุ่งขยายธุรกิจต่อเนื่อง และรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ และกำไรให้สอดคล้องกับเป้าหมายปี 2568 ด้วยแผนขยายสาขาใหม่อีก 10 สาขา ผ่านการกระจายทุกแบรนด์ ปัจจุบันมีทำเลที่คอนเฟิร์มแล้ว ได้แก่ ไตรมาส 1/2568 ที่ Beacon Srinakarin ขณะที่ไตรมาส 2/2568 ที่ Central Chiangrai, The Mall Ngamwongwan, Central Khonkaen, Emquartier และCentral Rama 9 ส่วนไตรมาส 3/2568 ที่ Mega Bangna และไตรมาส 4/2568 ที่ Dusit Central Park และ Central Surat Thani ซึ่งเน้นไปยังพื้นที่ศูนย์การค้าหลักในเมืองสำคัญทั่วประเทศ” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว
ทั้งนี้ KLINIQ ดำเนินธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์อุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดเวชศาสตร์ความงามในไทยมีแนวโน้มเติบโตที่ดี และจากข้อมูลล่าสุดขนาดตลาดเติบโตที่ระดับ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 ซึ่งแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2567-2573 คาดการณ์จะอยู่ที่ 11.6% โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการบริการความงามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านเวชศาสตร์ความงามที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทย