5 แบงก์วิ่งคึก! รับรัฐเปิดแผนแก้หนี้ 13 ล้านลบ.-ตั้ง AMC ลุยซื้อ NPL

5 หุ้นแบงก์วิ่งคึก! รับรัฐเปิดแผนแก้หนี้ครัวเรือน 13 ล้านล้านบาท-เล็งตั้ง AMC แห่งชาติ ลุยซื้อ NPL บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล โบรกชี้ช่วยลด Credit cost ธนาคาร ด้านโบรกฯชี้ KTB, KBANK, TTB, SCB ได้อานิสงส์จากพอร์ตสินเชื่อไม่มีหลักประกัน มองกำไรกลุ่มแบงก์ปี 68 โตต่อเนื่อง พร้อมแนะลงทุน “มากกว่าตลาด” เน้นหุ้นเด่น KTB, TTB, BBL


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(27มี.ค.68) ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์วิ่งคึก นำโดย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ณ เวลา 15:14 น. อยู่ที่ระดับ 164.00 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 0.92% ราคาสูงสุด 165.00 บาท ราคาต่ำสุด 162.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.27 พันล้านบาท

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB อยู่ที่ระดับ 24.40 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.41% ราคาสูงสุด 24.60 บาท ราคาต่ำสุด 24.30 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.07 พันล้านบาท

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.00 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 2.04% สูงสุดที่ระดับ 2.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.96 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 771.88 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 150.00 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 0.67% สูงสุดที่ระดับ 150.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 148.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 967.11ล้านบาท

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 125.50 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 0.40% สูงสุดที่ระดับ 126.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 124.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 623.52 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)  ระบุในบทวิเคราะห์(27 มี.ค.68) ว่า กระทรวงการคลังเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน วานนี้มีประเด็นเพิ่มเติมในส่วนมาตรการซื้อหนี้ธนาคาร

1.) มาตรการมุ่งเป้าหนี้เสียในระบบ เน้นในส่วนหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน โดยเฉพาะหนี้ในส่วนที่สถาบันการเงินตั้งสำรองไว้หมดแล้ว

2.) การรับซื้อหนี้ของประชาชน จะใช้กลไก บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) กำลังพิจารณาจะตั้ง AMC ใหม่ หรือเป็น AMC เดิม ประเมินบวกต่อหุ้นธนาคาร เน้น KTB ที่มีสัดส่วนหนี้ไม่มีหลักประกันสูงสุดในกลุ่ม KBANKและหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มแบงก์ (Overweight) จากประเด็นรัฐบาลเปิดแผนดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบภายใต้กรอบวงเงินรวม 13.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 90.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยให้ความสำคัญกับการจัดการหนี้เสีย (NPL) ที่มีอยู่ในระบบกว่า 806,000 ล้านบาท ครอบคลุมหนี้หลัก 3 ประเภท ดังนี้

1.หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล หนี้ในกลุ่มนี้มีวงเงินรวมประมาณ 3.201 ล้านล้านบาท โดยเป็น NPL คิดเป็นมูลค่าประมาณ 334,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินได้ตั้งสำรองความเสี่ยงไว้ครบถ้วนแล้ว รัฐบาลเตรียมเจรจากับธนาคารเจ้าหนี้เพื่อรับซื้อหนี้ดังกล่าวมาบริหารจัดการต่อผ่านกลไกเฉพาะ

2.สินเชื่อที่อยู่อาศัย วงเงินรวมของสินเชื่อบ้านอยู่ที่ประมาณ 5.12 ล้านล้านบาท เป็น NPL ราว 236,637 ล้านบาท หรือ 4.62% ของสินเชื่อกลุ่มนี้ ทั้งนี้ รัฐบาลจะไม่เข้าซื้อหนี้กลุ่มดังกล่าว แต่จะสนับสนุนให้ใช้มาตรการยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ ตามแนวทางของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ยกเว้นในกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีเจตนาชำระหนี้ ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

3.หนี้เช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเชิงพาณิชย์มีวงเงินรวมประมาณ 2.627 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสียประมาณ 333,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลประเมินว่าหนี้กลุ่มนี้มีภาระต้นทุนในการบริหารจัดการสูง เนื่องจากต้องติดตามทรัพย์หลักประกัน (รถยนต์) และมีข้อจำกัดด้านการจัดเก็บรักษา จึงไม่มีแผนเข้าซื้อหนี้ในส่วนนี้

4.สินเชื่อหมุนเวียนของเกษตรกร-พาณิชย์-เบิกเกินบัญชี (O/D) วงเงินรวมประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท เป็น NPL 118,000 ล้านบาท รัฐบาลจะไม่รับซื้อหนี้ แต่จะกำกับให้ธนาคารเจ้าหนี้บริหารจัดการเอง

5.หนี้นอกระบบสถาบันการเงิน (สหกรณ์-นาโนไฟแนนซ์) วงเงินรวมประมาณ 108,000 ล้านบาท เป็น NPL 13,000 ล้านบาท รัฐบาลไม่มีแผนเข้าไปซื้อหนี้ แต่ปล่อยให้เจ้าหนี้ติดตามทวงถามตามระบบ

โดย DAOL: มองเป็นกลางต่อกลุ่มแบงก์ โดยรัฐบาลยังคงจำกัดมาตรการช่วยเหลือเฉพาะหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ซึ่งเป็นกลุ่มที่สถาบันการเงินได้ตั้งสำรองเต็มจำนวนแล้ว ขณะที่สินเชื่อรายย่อยอื่น เช่น บ้าน รถยนต์ หรือสินเชื่อสหกรณ์ ไม่ได้อยู่ในแผนรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม

หากรัฐบาลสามารถตั้ง AMC แห่งชาติ และใช้เงินจากกองทุน FIDF เข้ามาช่วยจัดการหนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลได้จริง จะช่วยเลื่อนการรับรู้ NPL ออกไป และลด Credit cost ได้ในระยะกลาง เนื่องจากหนี้กลุ่มนี้มีการตัดหนี้สูญเร็ว และตั้งสำรองไว้แล้วในระดับสูง

โดย DAOL เปิดเผยรายชื่อธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลสูงสุด ได้แก่ KTB (26%),KBANK (9%),TTB (7%),SCB (5%)

ทั้งนี้ DAOL ยังคงคำแนะนำ “มากกว่าตลาด (Overweight)” ต่อกลุ่มธนาคาร โดยให้เหตุผลจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2568 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น+4% YoY ขณะเดียวกัน Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับถูก โดยซื้อขายที่ PBV เพียง 0.68 เท่า (-1.25 SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี) Top Pick กลุ่มธนาคาร ได้แก่: KTB, TTB, BBL

Back to top button