PDI เตรียมงบ 1.5 พันลบ. ลุย 3 ธุรกิจใหม่ อยู่ระหว่างเจรจา M&A โรงไฟฟ้าชีวมวลในปท.
PDI เตรียมงบ 1.5 พันลบ. ลุย 3 ธุรกิจใหม่ พลังงานทดแทน-กำจัดกากของเสีย-นวัตกรรมขั้นสูง เผยอยู่ระหว่างเจรจา M&A โรงไฟฟ้าชีวมวลในปท. 3 แห่ง คาดสรุปได้ 1 แห่งปีนี้
บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ PDI ระบุว่า บริษัทเตรียมงบ 1.5 พันล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจใหม่ที่พร้อมเดินหน้า โดยเปิดแผนลงทุน 3 ธุรกิจใหม่ ทั้งพลังงานทดแทน ,กำจัดกากของเสีย และธุรกิจนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งในส่วนของพลังงานทดแทนนั้นอยู่ระหว่างเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศ 3 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ 1 แห่งภายในปีนี้ ขณะที่ประกาศหยุดธุรกิจสังกะสีอย่างแน่นอนในปี 60 เนื่องจากจะยุติการขุดแร่สังกะสีจากเหมืองแม่สอดในปีนี้ โดยการหยุดธุรกิจสังกะสีทำให้ต้องพิจารณาปรับลดพนักงานลงบางส่วนด้วย
ขณะที่ นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ ของ PDI เปิดเผยว่า รายได้หลักของบริษัทในปีนี้จะยังคงมาจากธุรกิจสังกะสี โดยตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 58 จากปริมาณขายโลหะสังกะสีที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าในปีนี้จะอยู่ระดับ 6-7 หมื่นตันใกล้เคียงปีที่แล้ว แต่ยังขึ้นกับราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกด้วย ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มว่าจะขยับไปอยู่ที่ 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,700 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ในปีที่ผ่านมาราคาโลหะสังกะสีเฉลี่ยอยู่ที่ 1,933 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ทั้งนี้ ฝ่ายจัดการของบริษัทได้ศึกษาอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่า หลังจากที่เหมืองแม่สอดยุติลงในปี 59 จะดำเนินธุรกิจสังกะสีต่อไปอย่างไร เพื่อให้มีผลตอบแทนที่ดีและเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสีย แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้พยายามหาแหล่งแร่เพิ่มเติมและให้ได้รับใบอนุญาตการทำเหมืองทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และเมื่อเหมืองแม่สอดจะยุติในปลายปีนี้ หากบริษัทยังดำเนินธุรกิจสังกะสีต่อไป ก็ต้องพึ่งพาแร่นำเข้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากอเมริกาใต้และออสเตรเลีย ขณะที่แร่นำเข้าจึงมีราคาสูงมาก เมื่อนำมาใช้ทดแทนแร่ต้นทุนต่ำจากเหมืองแม่สอดจะทำให้ค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมากทั้งในส่วนของโรงย่างแร่จังหวัดระยองและที่โรงถลุงจังหวัดตาก
ดังนั้น ธุรกิจสังกะสีจะมีค่าใช้จ่ายดำเนินการสูงกว่ารายได้มากและอาจจะส่งผลให้บริษัทขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้นยังมีปัจจัยเสริมจากราคาโลหะสังกะสีโลกที่ตกต่ำและปริมาณความต้องการโลหะสังกะสีของอุตสาหกรรมในไทยที่ลดลงด้วยแล้ว จึงไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นทั้งในด้านราคาโลหะสังกะสีและสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญ
โดยภายหลังการขายโลหะสังกะสีในปีนี้แล้ว บริษัทจะยังคงมีโลหะสังกะสีเหลือจำหน่ายให้กับลูกค้าอีกราว 3 หมื่นตันภายในครึ่งแรกของปี 60 ซึ่งสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 60 จะมาจากส่วนใดนั้นยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่รายได้จากธุรกิจสังกะสีจะปรับลดลงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริษัทได้ตัดสินใจเร่งรัดโครงการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนบริษัทให้เข้าสู่ธุรกิจที่มีความยั่งยืน อาทิ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจรีไซเคิล ธุรกิจการจัดการกากของเสีย และธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากโลหะต่างๆ
ทั้งนี้ หลายโครงการในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวนี้อยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้ขั้นสุดท้ายและจะดำเนินการสร้างรายได้และผลกำไรโดยเร็วและให้มีความล่าช้าน้อยที่สุด คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแผนสนับสนุนธุรกิจเชิงกลยุทธ์แล้ว โดยมีเป้าหมายจะต้องดำเนินการอย่างสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจที่เริ่มเองตั้งแต่ต้นและการเข้าไปซื้อกิจการ อย่างไรก็ตามผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย บริษัทจึงมุ่งเน้นไปยังกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
“ปี 59 รายได้ยังมาจากธุรกิจสังกะสีเป็นหลัก แม้เหมืองที่แม่สอดจะหยุดผลิตแร่ในปีนี้ บริษัทก็เริ่มปรับแผน ซึ่งเหมืองที่จังหวัดตากเหลือแร่ที่จะผลิตในปี 59 และครึ่งแรกปี 60 เท่านั้น หลังจากหยุดธุรกิจสังกะสีแล้ว บริษัทจะไปโฟกัสในธุรกิจสีเขียวเพื่อความยั่งยืน โดยเน้น 3 ธุรกิจหลักคือพลังงานทดแทน ธุรกิจจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากการรีไซเคิล และธุรกิจจัดหาวัตถุดิบจากกากของเสียและบริหารจัดการกากของเสียเชิงนิเวศ”นายฟรานซิส กล่าว
โดยในปี 59 จนถึงช่วงหนึ่งของปี 60 การผลิตโลหะสังกะสียังคงดำเนินการอยู่ตามปริมาณแร่สำรองของเหมืองแม่สอดที่เหลืออยู่โดยจะนำเข้าแร่เพิ่มเติมมาใช้ร่วมกันแต่ยังให้ผลตอบแทนที่ดี บริษัทมั่นใจว่าจะมีสินค้าจัดส่งให้ลูกค้าอย่างแน่นอน และจะช่วยเหลือพร้อมทั้งแนะนำลูกค้าในการหาซัพพลายเออร์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานจากธุรกิจสังกะสีในปีนี้และปีหน้าคาดว่าน่าจะดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับราคาโลหะสังกะสีโลกและปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ภาย หลังจากปี 60 เป็นต้นไป การดำเนินกิจกรรมด้านสังกะสีจะเป็นการรีไซเคิลอย่างสิ้นเชิงโดยมีแหล่งวัตถุดิบจากในประเทศและอาจจะนำเข้า ซึ่งไม่ต้องนำมาผ่านกระบวนการแยกสังกะสีด้วยไฟฟ้าแบบเดิมที่โรงถลุงตากซึ่งมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูง พร้อมกันนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มเป็นหลัก
ส่วนรายได้จากธุรกิจสังกะสีในปี 58 ยังคงเป็นบวก แม้ว่าปริมาณการขายในประเทศจะลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาโลหะสังกะสีโลกที่ปรับลดลงมาก ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการผลิตกับปริมาณความต้องการใช้โลหะสังกะสีโลกมีความไม่สมดุลกัน ส่วนปัจจัยบวกที่ส่งผลให้บริษัทยังคงมีกำไรมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และค่าพลังงานที่ต่ำลงรวมทั้งการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ลงได้อย่างต่อเนื่อง