
8 หุ้นวัสดุก่อสร้างวิ่งคึก! รับประโยชน์ “แผ่นดินไหว” หนุนดีมานด์พุ่ง
DOHOME วิ่ง 8% นำ TOA-HMPRO-TEAMG-SCC-GLOBAL-SCGD-SCCC รับประโยชน์จากเหตุแผ่นดินไหว หนุนความต้องการวัสดุก่อสร้างในการซ่อมแซมโครงสร้างอาคารเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (31 มี.ค.68) ราคาหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้นยกแผน ณ เวลา 10:15 น. หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างหลังเหตุแผ่นดินไหว นำโดย บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 6.00 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 8.11% สูงสุดที่ระดับ 6.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38.46 ล้านบาท
บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 12.00 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 8.11% สูงสุดที่ระดับ 12.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 37.24 ล้านบาท
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 8.75 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 4.79% สูงสุดที่ระดับ 8.85 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 8.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 376.93 ล้านบาท
บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.28บาท บวก 0.14 บาท หรือ 4.46% สูงสุดที่ระดับ 3.54 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.24 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46.70 ล้านบาท
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 160.00 บาท บวก 6.50 บาท หรือ 4.23% สูงสุดที่ระดับ 160.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 156.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 391.74 ล้านบาท
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 7.20 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 3.60% สูงสุดที่ระดับ 7.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.15 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 44.01 ล้านบาท
บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 4.26 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 2.90% สูงสุดที่ระดับ 4.46 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.49 ล้านบาท
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 159.50 บาท บวก 3.50 บาท หรือ 2.24% สูงสุดที่ระดับ 160.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 159.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.23 ล้านบาท
จากกรณีแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 8.2 ริกเตอร์ ลึกจากพื้นดินราว 10 กม. มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา ตามรายงานโดยกรมอุตุนิยมวิทยา โดยเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเวลาประมาณ 13.20 น. ของวันที่ 28 มี.ค. ส่งแรงสะเทือนถึงประเทศไทยหลายพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่สามารรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเกิดอาฟเตอร์ช็อกสั่นสะเทือนที่รุนแรง ส่งผลให้อาคารสูงหลายหลังได้รับความเสียหาย และบางอาคารพังถล่ม คือ อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง อยู่บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ที่พังถล่มลงมา โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ อาคารสูงในกรุงเทพฯ หลายแห่งยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ผู้อยู่อาศัยแตกตื่นวิ่งลงจากอาคาร หลายแห่งเกิดรอยแตกร้าวภายในอาคารจากแรงสั่นสะเทือน ขณะที่การจราจรติดขัดอย่างหนัก เนื่องจากรถไฟฟ้าทุกสายหยุดให้บริการ
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของไทยในครั้งนี้ ถูกประเมินว่ารุนแรงสุดในรอบกว่า 100 ปี จึงไม่มีพฤติกรรมในอดีตเฉพาะตัวให้อ้างอิง โดยครั้งที่รุนแรงสุดของไทยคือสึนามิปี 2546 ช่วงนั้นดัชนีหุ้นไทย (SET Index) อยู่ในทิศทางขาขึ้น ผลกระทบจึงเป็นลักษณะย่อระยะสั้นแล้วขึ้นต่อ ขณะที่รอบนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในทิศทางขาลง และบรรยากาศการลงทุนยังถูกกดดันด้วยการจัดเก็บภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่รอชัดเจน 2 เม.ย. โดยตลาดหุ้นไทยวันนี้ (31 มี.ค.) จึงมีโอกาสตอบรับเชิงลบไปก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ กลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบโดยตรง คือ อสังหาริมทรัพย์, รับเหมาก่อสร้าง, ประกัน ที่เป็นประกันวินาศภัย เช่น บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH, บริษัท ไทยวิวัฒน์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TVH รวมถึงบริษัท ไทยรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ที่เป็นประกันภัยต่อ ส่วนกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบทางอ้อมคือ ท่องเที่ยวและนิคมอุตสาหกรรม
ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มซ่อมแซมบ้าน หรือ Home Improvement และวัสดุก่อสร้าง เช่น HMPRO, GLOBAL, DOHOME, SCGD รวมถึงกลุ่มที่ปรึกษางานก่อสร้าง เช่น TEAMG อาจเห็นแรงเก็งกำไรในระยะสั้น
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ จากกรณีแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในไทยครั้งนี้ บริษัทประเมินการลงทุนกลุ่มได้ประโยชน์ อาจมองไปที่กลุ่มค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับซ่อมแซมบ้าน อาทิ HMPRO, GLOBAL, DOHOME และ SCCC
รวมไปถึงกลุ่มที่ผลกระทบจำกัดอย่างโรงพยาบาล อาทิ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS สื่อสาร อย่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และควรระมัดระวังในหุ้นอสังหาฯ (ผลกระทบหนักสุด) และล่าสุดกระทรวงการคลัง ได้เตรียมออกมาตรการมารองรับ และยังยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ
โดยในช่วงเวลาดังกล่าวพบว่าหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ได้แก่ กลุ่มปลอดภัย หรือ Defensive เช่น BDMS กลุ่มก่อสร้าง เช่น SCC กลุ่มส่งออก เช่น TU แต่หุ้นที่ Underperform ได้แก่ โรงแรม เช่น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ลดลง 5% กลุ่มธนาคาร เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ลดลง 3.7% รวมถึงธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ลดลง 3%
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ ระยะสั้นแนะนําซื้อเก็งกําไรกลุ่มอุปกรณ์วัสดุก่อสร้าง เช่น HMPRO, DOHOME, GLOBAL และ SCGD ขณะที่ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และประกันภัย