
SET เช้าร่วง 21 จุด ตามดาวโจนส์ดิ่งหนัก-น้ำมันโลกลงกดดัน
SET เปิดเช้าร่วง 21 จุด ตามดาวโจนส์ หลังกังวลต่อมาตรการภาษีสหรัฐกระทบเศรษฐกิจ ผนวกกับราคาน้ำมันปรับตัวลงแรง โบรกให้แนวรับ 1,155 – 1,150 จุด ส่วนแนวต้าน 1,167 – 1,172 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 เม.ย.68) ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 10:20 น. อยู่ที่ระดับ 1,140.59 จุด ลดลง 21.22 จุด หรือ 1.83% สูงสุดที่ระดับ 1,156.02 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 1,139.83 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8,861.72 ล้านบาท โดยมีแรงกดดันมาจาก DELTA PTTEP GULF PTT และ AOT กดดันตลาด
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีซึมตัวลง โดยบรรยากาศการลงทุนค่อนข้างเป็นลบ ขณะที่ภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เปิดตลาดมาเป็นลบ ยังถูกดดันจากความกังวลมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ ซึ่งยังต้องติดตามการเจรจาหลังจากนี้ว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกหรือไม่ ซึ่งการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐกระทบ GDP ไทยราว 1% หรือมากกว่า
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังถูกกดดันจากกลุ่มพลังงาน หลังเมื่อคืนนี้ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง ทำให้กลุ่มพลังงานน่าจะกดตลาดวันนี้ จับตาแนวรับ 1,155 จุด หากยืนไม่ได้ดาวน์ไซด์จะเปิด กลยุทธ์ในการลงทุนวันนี้แนะนำหุ้นกลุ่ม Domestic และ กลุ่ม Defensive โดยให้กรอบแนวรับ 1,155 จุด แนวรับถัดไป 1,140 จุด และแนวต้าน 1,165 – 1,173 จุด
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดการณ์ SET Index แกว่ง sideways-down ยังมีปัจจัยลบกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญภาวะถดถอยและความเสี่ยงสงครามการค้ารุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันปรับลบลงแรงน่าจะกดดันกลุ่มพลังงาน อีกทั้ง ต้องระวังแรงแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนวันหยุดยาว ประเมินแนวรับที่ 1,155 – 1,150 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,167 – 1,172 จุด
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์ คาดตลาดจะเข้าสู่โหมดตั้งรับรอติดตามตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ ประเมิน SET Index วันนี้มีโอกาสเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways-down ในกรอบ 1,150-1,165 จุด ถูกกดดันจากทั้งความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันดิบที่จะส่งผลลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น
ทั้งนี้ แนะนำ “Wait and see” รอการรายงานตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ หากออกมาแย่กว่าคาดจะเป็นลบต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง แต่เป็นบวกต่อตลาดตราสารหนี้และหุ้นในกลุ่ม Yield play เช่น REITS & IFFS, ไฟแนนซ์ และโรงไฟฟ้า