FM วิ่ง 3% ส่งซิก Q1 ออเดอร์ทะลัก-ต้นทุนทรงตัว ดันทั้งปีรายได้โตตามเป้า 15%

FM บวกต่อ 3% หลังส่งซิกผลงานไตรมาส 1/68 สดใส รับแรงหนุนยอดขายเพิ่มขึ้น บวกต้นทุนทรงตัว ย้ำรายได้รวมปีนี้โต 12-15% มุ่งขยายฐานลูกค้ากลุ่มแบรนด์ระดับโลก


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (16 เม.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ FM ณ เวลา 10:27 น. อยู่ที่ระดับ 3.78 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 3.28% สูงสุดที่ระดับ 3.82 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.67 ล้านบาท

นายณัฐพล ดุษฎีโหนด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FM เปิดเผยว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2568 เติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยเห็นได้จากยอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้ปริมาณการขาย (Volume) เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนทรงตัว

“เราเห็นสัญญาบวกที่ดีในช่วงไตรมาส 1/2568 จากออเดอร์ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้เราค่อนข้าง Relax กับไตรมาส 2/2568 เนื่องจากเราได้มีการปิดการขายไปพอสมควรแล้ว และเห็นทิศทางของลูกค้าแล้ว อย่างไรก็ตาม FM ไม่มีช่วงฤดูกาลในการขายเฉพาะ ฉะนั้นการเติบโตจะเกิดขึ้นในทุกๆ ไตรมาส ตามกลยุทธ์ในการดำเนินงานเป็นหลัก แต่จะมีปัจจัยภายนอกในช่วงเวลาต่างๆ เข้ามาทำให้ผลงานของเรามีขึ้นมีลงบ้าง” นายณัฐพล กล่าว

สำหรับลูกค้าหลักของ FM จะอยู่ที่ยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งในปี 2567 มีสัดส่วนรวมกันที่ 37% ของรายได้รวม โดยยุโรปจะมีความท้าทายในเรื่องเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้เป็นความกดดันในเรื่องราคาซื้อ ขณะที่ ในประเทศญี่ปุ่นประสบกับปัญหาของอัตราแลกเปลี่ยน (เงินเยนอ่อน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น) ซึ่งจะเห็นได้ว่า 2 ประเทศดังกล่าวยังคงมีความกดดันในเรื่องของราคาซื้อขาย แต่มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว การใช้จ่ายที่ต้องมีความคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจัยนี้ช่วยทำให้ความต้องการในแง่ของปริมาณเพิ่มขึ้น

นายณัฐพล กล่าวอีกว่า การบริโภคนอกบ้านน้อยลง ประชาชนหันมาหาไก่แปรรูปที่สำเร็จรูปไปอุ่นทานที่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตามเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทยอาจจะไม่คุ้น แต่ในยุโรปและญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องปกติ และปัจจุบันสัดส่วนของการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย

ทั้งนี้ กรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าจากหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยนั้น ในกลุ่มที่เป็นสินค้าประเภทไก่ ผลกระทบทางตรงนั้นไม่น่ามีอะไรเป็นที่น่ากังวล เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้มีการส่งไก่เข้าไปในประเทศสหรัฐฯ

ส่วนผลกระทบทางอ้อม มีทั้งกระทบทั้งเชิงบวกและกระทบทั้งเชิงลบ โดยผลกระทบเชิงบวก เช่น การเปิดให้นำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ได้ ซึ่งมีต้นทุนที่ถูกกว่าประเทศไทย และหากเกิดขึ้นได้จริง จะเป็นอานิสงส์กับต้นทุนการผลิต รวมถึงค่าระวางหรือค่าขนส่งสินค้า (Freight) ที่จะลดลง เป็นต้น

“ความต้องการยังคงต้องรอดูความชัดเจนว่าผลกระทบในเรื่องของการ Relocate ซึ่งในแต่ละปีสหรัฐฯ มีส่งการส่งออกไก่เข้าไปในประเทศจีนจำนวนมาก ในส่วนนี้จะมีการชะลอ หรือหยุดลง จากนโยบายใหม่การขึ้นภาษี และจะเป็นโอกาสของไก่ไทยได้หรือไม่ ในการส่งออกไก่เข้าไปในประเทศจีนมากขึ้น” นายณัฐพล กล่าว

ด้านการเติบโตในปี 2568 บริษัทวางเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโต 12-15% จากปีก่อน โดยการเติบโตจะมาจากทั้ง Organic และ Inorganic สำหรับการเติบโตแบบ Organic จะมาจากการเน้นขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Premium Product หรือสินค้าพรีเมียมที่มีคุณภาพสูง และลูกค้าในกลุ่มร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ที่เป็นแบรนด์ระดับโลกเป็นหลัก ส่วนการเติบโตแบบ Inorganic ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และมองหาพันธมิตรที่จะเข้ามาลงทุนร่วมกัน โดยจะเน้นอาหารสัตว์เลี้ยงที่จะใช้วัตถุดิบจากไก่เข้าไปเพิ่มมูลค่า เพื่อสร้างความครบวงจรและความยั่งยืนในอนาคต

Back to top button