สั่งจำคุก “เนตร นาคสุข” 3 ปี คดีพลิกความเร็วรถ “บอส อยู่วิทยา” ยกฟ้อง “สมยศ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 เม.ย. 68) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อท 131/2567 ซึ่งพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด, พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน, พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ, นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตพนักงานอัยการอาวุโส, นายธนิต บัวเขียว, นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ รวม 8 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 200, 83, 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 192

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด เป็นเวลา 3 ปี และ นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตพนักงานอัยการอาวุโส จำคุก 2 ปี ในข้อหาร่วมกันกระทำผิดเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานในคดี คำให้การพยาน และความเร็วรถยนต์ เพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหา ให้พ้นผิด หรือรับโทษน้อยลง

ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 6 คน ได้แก่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร., พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข, พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี, นายธนิต บัวเขียว, นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร และ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ศาลได้พิพากษายกฟ้อง

คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 55 ซึ่งนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส กระทิงแดง ได้ขับรถยนต์หรูเฉี่ยวชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตขณะขี่รถจักรยานยนต์ ต่อมามีการกล่าวหาว่าจำเลยในคดีนี้ได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องความเร็วของรถยนต์ที่นายวรยุทธขับ เพื่อช่วยเหลือให้นายวรยุทธพ้นผิดหรือได้รับการลงโทษสถานเบาลง ซึ่งนำมาสู่การดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบในเวลาต่อมา.