ดาวโจนส์ปิดวันศุกร์ลบ 57 จุด หลังมุมมองบวกต่อศก.เริ่มอ่อนแรง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ก.พ.) เช่นเดียวกับ S&P 500 ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ภายหลังมุมมองบวกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้นเริ่มอ่อนแรงลง ประกอบกับราคาน้ำมันได้กลับมาปรับลดลงอีกครั้ง หลังจากที่ฟื้นตัวขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 57.32 จุด หรือ 0.34% ปิด (26 ก.พ.) ที่ 16,639.97, ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 3.65 จุด หรือ 0.19% ที่ระดับ 1,948.05 และดัชนี Nasdaq บวก 8.26 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 4,590.47 สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งสามดัชนีหลักปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.5% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.6% และดัชนี Nasdaq พุ่ง 1.9%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดแดนบวกในวันศุกร์ ขานรับการปรับเพิ่มตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4 นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันก็เป็นปัจจัยหนุนภาวะการซื้อขายในช่วงเปิดตลาดเช่นกัน โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นไปถึง 0.6% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ครั้งที่ 2 สำหรับไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ขยายตัว 1.0% โดยปรับเพิ่มขึ้นจากตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 0.7% ถึงแม้ต่ำกว่าระดับ 2.0% ในไตรมาส 3 และ 3.9% ในไตรมาส 2 ตัวเลขจีดีพีล่าสุดสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า จีดีพีในไตรมาส 4 จะถูกปรับทบทวนลงสู่ระดับ 0.4%

ด้านสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1% ในระหว่างวัน ท่ามกลางความคาดหวังที่ว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจะสามารถจับมือกันผลักดันราคาให้ดีดตัวขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินจำนวนมากในสหรัฐเป็นอีกปัจจัยที่หนุนตลาด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาหุ้นเริ่มปรับตัวเคลื่อนไหวในแดนลบ เช่นเดียวกับราคาน้ำมัน โดยได้รับแรงกดดันจากรายงานของรัฐบาลสหรัฐที่ว่า อัตราเงินเฟ้อระยะยาวปรับตัวขึ้นสองเท่าในเดือนม.ค.สู่ระดับ 1.3% ซึ่งขยับเข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ของเฟด และจุดกระแสคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็วๆนี้

ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจและตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทำให้หุ้นบริษัทที่มีกิจการในต่างประเทศปรับตัวลดลง รวมถึงสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน เพราะดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ที่ถือเงินสกุลอื่นๆ ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น นอกจากตัวเลขจีดีพีแล้ว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยในวันเดียวกันว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 0.5% ในเดือนม.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนธ.ค.

นอกจากนี้ กระทรวงยังรายงานว่า รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 7.96 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 0.5% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค.

Back to top button