CENTEL ฟุ้งกำไรปีนี้นิวไฮต่อเนื่อง วางแผนออกหุ้นกู้มูลค่า 3.3 พันลบ.
CENTEL คาดกำไรปีนี้นิวไฮต่อเนื่อง ตามรายได้ธุรกิจโรงแรมโต ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2.05 หมื่นลบ. วางงบลงทุนรวมที่ 2.55 พันลบ. ขณะที่เตรียมลงทุนก่อสร้างโรงแรมในดูไบ-สหรัฐอาหรับเอมิเรต วางแผนออกหุ้นกู้มูลค่า 3.3 พันลบ. ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดในปีนี้
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่าสำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 คาดว่าจะใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 5.15 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 833 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงแรม ทำให้ธุรกิจโรงแรมมีการเติบโตที่โดดเด่นโดยมีคาดว่าอัตราการเข้าพักในธุรกิจโรงแรม (OCC) จะอยู่ที่ 85%
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 59 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิสูงสุดอยู่ที่ 1.67 พันล้านบาท ปัจจัยผลักดันมาจากธุรกิจโรงแรมที่บริษัทเน้นการเพิ่มรายได้จากห้องพักที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ EBITDA Margin ของธุรกิจโรงแรมในปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 33% จากปีก่อนที่ 32% ส่วนธุรกิจร้านอาหารแนวโน้มของ EBITDA Margin ในปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อนที่ 12.5% แม้ว่าบริษัทจะมีการควบคุมต้นทุนค่อนข้างมาก แต่ยังมีธุรกิจร้านอาหารบางสาขาที่ยังไม่ทำกำไร
ขณะที่รายได้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 2.05 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.92 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอาหาร 1.1 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 1.01 หมื่นล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรม 9.5 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 9.04 พันล้านบาท
สำหรับธุรกิจอาหารในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ต่อสาขาเดิม (SSS) จะเติบโต 1% จากปีก่อนที่ติดลบ 1% และยอดขายของสาขาทั้งหมด (TSS) ในปีนี้จะเติบโต 5% จากปีก่อนอยู่ที่ 2% หลังจาก 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ KFC, อานตี้ แอนส์, โอโตยะ และมิสเตอร์ โดนัท ยังสร้างรายได้ได้ต่อเนื่อง และแบรนด์ Pepper Lunch ยอดขายเห็นการเติบโตมากขึ้นหลังเริ่มมีการทำโปรโมชั่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปีนี้บริษัทจะมีการเปิดสาขา 58 สาขา และจะมีการปิดสาขาเดิมที่ไม่ทำกำไร 24 สาขาในปีนี้ จากปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 792 สาขา และสิ้นปีนี้บริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้น 826 สาขา
ขณะที่มองว่าปัจจัยเสี่ยงในปีนี้เป็นเรื่องการเมืองในประเทศ และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ลูกค้าชาวจีน นอกจาก นี้ยังเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และโรคต่างๆที่อาจจะเข้ามากระทบต่อธุรกิจได้
ด้านธุรกิจโรงแรมบริษัทตั้งเป้าอัตราการเข้าพัก (OCC) ในปีนี้จะอยู่ที่ 81% เท่ากับปีก่อน และอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) เติบโต 6% มาอยู่ที่ 4,300 บาท/ห้อง/คืน จากปีก่อนที่ 3,900 บาท/ห้อง/คืน ส่วนราคาห้องพักเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (ARR) ในปีนี้จะเพิ่มมาอยู่ที่ 5,200 บาท/ห้อง/คืน จากปีก่อนที่ 4,800 บาท/ห้อง/คืน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงโรงแรมที่มัลดีฟส์ที่เหลืออีก 30 ห้องที่จะมีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งทำให้ราคาห้องพักในโซนที่ปรับปรุงแล้วสูงขึ้น ประกอบกับ การรีโนเวทห้องพักบางส่วนของโรมแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้บริษัทสามารถปรับราคาห้องพักขึ้นสูงได้
โดยงบลงทุนของบริษัทในปีนี้ตั้งงบลงทุนรวมอยู่ที่ 2.55 พันล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนของธุรกิจโรงแรม 1.25 พันล้านบาท โดยใช้สำหรับก่อสร้างโรงแรม COSI ที่เป็นแบรนด์ใหม่ 2 แห่งที่สมุย และพัทยา 350 ล้านบาท ใช้ปรับปรุงโรงแรมมัลดีฟส์และปรับปรุงโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้ปรับปรุงโรงแรมอื่นๆอีก 700 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนสำหรับธุรกิจร้านอาหารปีนี้ใช้เงินลงทุน 1.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อกิจการธุรกิจอาหาร 500 ล้านบาท ปรับปรุงสาขาเดิม 200 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่อีก 600 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทเตรียมลงทุนก่อสร้างโรงแรมในดูไบ สหรัฐอาหนับเอมิเรต โดยรวมลงทุนกับพันธมิตร มูลค่าลงทุนรวม 6-6.3 พันล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 40% และพันธมิตรถือหุ้นในสัดส่วน 60% โดยบริษัทจะใช้งบลงทุนสำหรับโครงการนี้ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 2.5 พันล้านบาท ซึ่งเร็วๆนี้บริษัทจะมีการแถลงข่าวเปิดเผยรายละเอียดโครงการลงทุนดังกล่าว คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 62
อีกทั้งในปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้มูลค่า 3.3 พันล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.21% เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดในปีนี้ โดยจะออกในช่วงเดือนมีนาคมนี้ มูลค่า 800 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะออกในช่วงเดือนกันยายนนี้