ORI คาดกำไรปีนี้ทำนิวไฮต่อเนื่อง มองยอดขาย Q1/59 ทะลุเป้า 1 พันลบ.
ORI คาดกำไรปีนี้ทำนิวไฮต่อเนื่อง มองยอดขาย Q1/59 ทะลุเป้า 1 พันลบ. หลัง 2 เดือนแรกโกยแล้ว 800 ลบ. จากการกระตุ้นอสังหาฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ต่อเนื่องจากปีก่อนที่บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 386.32 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเติบโตของรายได้ในปีนี้ที่มียอดโอนสูงขึ้น และการรักษาอัตรากำไรสุทธิและอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ระดับ 18.8% และ 42.9% ตามลำดับ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการมีต้นทุนที่ต่ำ และการได้รับส่วนลดค่าก่อสร้างจากบริษัทผู้รับเหมา ขณะเดียวกันก็มีการปรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5-10%
ทั้งนี้บริษัทคาดว่ายอดขายในไตรมาส 1/59 จะทำได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1 พันล้านบาท หลัง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 59) ทำยอดขายได้แล้ว 800 ล้านบาท เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐที่ทำให้การซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์มีความคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในงานอีเวนท์ต่างๆที่บริษัทนำโครงการไปออกบูธได้รับผลตอบรับที่ดี อีกทั้งในช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมามีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คือ โครงการ Notting Hill แหลมฉบัง-ศรีราชา จำนวน 543 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท มียอดขายแล้ว 30% ทำให้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7.5 พันล้านบาท
“แนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกนี้ปรับตัวคึกคัก ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอสังหาริมทรัพย์…ในไตรมาสแรก ORI มีการอัดแคมเปญ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อต่อเนื่อง ก่อนที่มาตรการภาครัฐจะสิ้นสุดในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้”นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของยอดรับรู้รายได้ในปีนี้บริษัทปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 4 พันล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3.25 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 6.84 พันล้านบาท โดยการโอนโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ทำให้ยอดโอนในครึ่งปีหลังจะโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งในครึ่งปีแรกนี้คาดว่าจะมียอดโอนเพียง 1 พันล้านบาท
สำหรับการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้วางแผนเปิดทั้งหมด 8-10 โครงการ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท โดยเปิดไปแล้ว 1 โครงการ มูลค่า 1.2 พันล้านบาท และในไตรมาส 2/59 จะเปิดอีก 3 โครงการ มุลค่ารวม 3.5 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการ Knights Bridge ติวานนท์ มูลค่า 1 พันล้านบาท โครงการ Notting Hill แพรกษา มูลค่า 1.3 พันล้านบาท และโครงการ Notting Hill สะพานใหม่ มูลค่า 1.3 พันล้านบาท
ส่วนงบลงทุนปีนี้ตั้งไว้ที่ 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบซื้อที่ดิน 2 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ใช้ซื้อที่ดินไปเกือบครบแล้ว และอีก 1 พันล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างโครงการ โดยแหล่งเงินจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้สถาบันการเงิน และเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)
ทั้งนี้การที่รัฐบาลจะมีโครงการบ้านประชารัฐออกมาก็เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ต่อหลังจากมาตรการลดหย่อนภาษีค่าโอนและค่าจดจำนองสิ้นสุดลง อีกทั้งยังส่งผลดีถึงผลการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาโครงการในระดับราคาที่โครงการบ้านประชารัฐกำหนดไว้ที่เบื้องต้นคาดว่าอยู่ที่ 7 แสนบาท -1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลุกค้าเป้าหมายของบริษัท โดยบริษัทก็มีโครงการที่อยู่สต๊อกระดับราคาในช่วง 1-1.5 ล้านบาท ที่พร้อมเข้าโครงการบ้านประชารัฐในปีนี้มูลค่ารวม 1 พันล้านบาท จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ Cabana Condo ใกล้ BTS สำโรง ราคาขายเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท โครงการ Tropicana ใกล้ BTS เอราวัณ ราคาขายเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท และโครงการ B Loft 115 ราคาขายเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าขึ้นเป็น 1 ใน 10 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำไรสูงสุดจากปี 58 บริษัทอยู่ในอันดับที่ 12 จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับที่สูง รวมถึงมีแผนที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศเพิ่ม คือ จีน สิงคโปร์ ให้เข้ามาซื้อโครงการของบริษัท จากปัจจุบันที่มีลูกค้าต่างประเทศคือญี่ปุ่น โดยตั้งเป้า 3-5 ปีจะมีสัดส่วนต่างชาติซื้อโครงการของบริษัทเพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 10%