HPT ตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ระดับ 10-15% คงเป้ารายได้ที่ 150 ลบ.

นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 10-15% จากปีก่อนอยู่ที่ 9.12% พร้อมคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 150 ล้านบาท หรือเติบโต 15-25%

เนื่องจากบริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 20% ในช่วงไตรมาส 2/59 จากปีก่อนมีกำลังการผลิตอยู่ 3 ล้านชิ้นต่อปี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวลดลง นอกจากนี้บริษัทฯจะเน้นขายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูงเพิ่มเติมด้วย

โดยในปีนี้บริษัทยังจะเน้นการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดในประเทศบริษัทได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าใหม่ไปยังกลุ่มค้าปลีกห้างสรรพสินค้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมสินค้าภายใต้แบรนด์ PE’TYE เพื่อนำไปวางจำหน่ายในกลุ่มดังกล่าว คาดว่าจะสามารถส่งมอบสินค้าได้ภายในช่วงเดือน เม.ย. และจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2/59 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ บริษัทยังจะเน้นขยายตลาดในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ให้เพิ่มขึ้นด้วย โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากตลาด AEC และในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 4% จากปีก่อนมีอยู่เพียง 2% หลังจากบริษัทมีพันธมิตรในพม่า มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้กระจายสินค้าให้กับโรงแรมต่างๆ  ซึ่งการปรับสัดส่วนรายได้ของตลาด AEC และในประเทศเพิ่มขึ้นช่วยลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในยุโรปที่เป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 40% แม้ว่าจะยังไม่มีผลกระทบและคงไม่ใช่ผลกระทบโดยตรง

อีกทั้งบริษัทจะเดินหน้าแผนร่วมทุนกับพันธมิตรนิวซีแลนด์ เพื่อขยายช่องทางการตลาด การจำหน่าย และขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ ภายหลังจากที่ประชุมกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้มีการเซ็น MOU ไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยความคืบหน้าการร่วมทุนดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของการร่างสัญญา

นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 30 ล้านบาท โดยงบส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับช่องทางการกระจายสินค้าช่องทางใหม่ และส่วนที่เหลือแบ่งใช้สำหรับการเพิ่มกำลังการผลิต ปรับปรุงสายการผลิตเดิมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและงบด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ตราสินค้า PE’TYE

สำหรับแนวโน้มรายได้ในช่วงไตรมาส 1/59 นี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวอยู่ ประกอบกับกำลังการผลิตใหม่ยังไม่เข้ามา