ดาวโจนส์ปิดร่วง 185 จุด ตลาดวิตกยอดค้าปลีกสหรัฐฯพุ่งผลักดันเฟดขึ้นดบ.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี โดยนักลงทุนกังวลว่าข้อมูลดังกล่าวจะผลักดันให้เฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,535.32 จุด ร่วงลง 185.18 จุด หรือ -1.05%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,717.68 จุด ลดลง 19.65 จุด หรือ -0.41% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,046.61 จุด ลดลง 17.50 จุด หรือ -0.85% ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 1.2% ดัชนี S&P 500 ปรับลง 0.5% และดัชนี NASDAQ ลดลง 0.4%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ข้อมูลค้าปลีกที่แข็งแกร่งของสหรัฐอาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.5% โดยสาเหตุที่ทำให้ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้นแข็งแกร่งนั้น มาจากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ตลาดได้รับแรงกดดันอยู่แล้ว จากการที่นายเอริค โรเซนเกรน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขาบอสตันได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายโรเซนเกรนยังกล่าวด้วยว่า ตลาดการเงินกำลังประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับช่วงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และมองในแง่ลบมากเกินไปเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการอ่อนตัวลงของราคาน้ำมันดิบ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงมากกว่า 1% ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่า แคนาดาเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตน้ำมันดิบได้อีกครั้ง หลังจากที่แหล่งผลิตน้ำมันได้รับผลกระทบจากวิกฤตไฟป่า
หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง นำโดยหุ้นนอร์ดสตรอม ห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 13% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายช่วงไตรมาสแรกที่อ่อนแอเกินคาด ขณะที่หุ้นเจซี เพนนี ร่วงลง 2.8% หุ้น Nvidia ดิ่งลง 15% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ ขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์เปิดเผยว่า น้ำมันดิบของบริษัทกว่า 2,100 บาร์เรลได้รั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก
อย่างไรก็ตาม หุ้นแอปเปิลปิดตลาดดีดตัวขึ้น หลังจากแอปเปิลประกาศลงทุนในบริษัทตีตี ชูสิง (Didi Chuxing) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการเรียกรถแท็กซี่รายใหญ่ของจีนในวงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการลงทุนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แอปเปิลให้ความสนใจต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของตีตี และยังสะท้อนความเชื่อมั่นของแอปเปิลที่มีต่อเศรษฐกิจจีนในระยะยาว