CBG ยังคงเป้ารายได้ปีนี้โต 15-20% เตรียมออกเครื่องดื่มใหม่
CBG ยังคงเป้ารายได้ปีนี้โต 15-20% เตรียมออกเครื่องดื่มใหม่
แหล่งข่าวจาก บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือCBG เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทยังคงเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่ 7.8 พันล้านบาท แม้ว่าไตรมาส 1/59 จะมียอดขายสูงถึง 2.1 พันล้านบาท ซึ่งมาจากการเติบโตมาจากยอดขายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะยอดขายต่างประเทศเติบโตมาจากตลาดกัมพูชา และการฟื้นตัวของยอดขายในอัฟกานิสถาน ขณะที่ยอดขายในประเทศเติบโตจากสินค้าหลักที่ผ่านการกระตุ้นยอดขายผ่านทางการใช้รถขายเงินสด (Cash Van) ทั้งสินค้าของบริษัทและพันธมิตร เช่น สาหร่ายโกริโกะ และน้ำดื่มคาราบาว เป็นต้น
สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานของบริษัทในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ยังดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะคงเดินหน้ากระตุ้นยอดขายในประเทศผ่านการใช้รถขายเงินสดเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะยังเป็นช่องทางการขายที่มีสัดส่วนอยู่ไม่มากที่ 9% ของช่องทางการขายทั้งหมด โดยในไตรมาส 2/59 บริษัทจะเพิ่มจำนวนรถ Cash Van เป็นจำนวน 300 คัน จากปัจจุบันมีจำนวนรถ Cash Van อยู่ที่ 192 คัน ประกอบกับการกระตุ้นยอดขายจากการออกสินค้าใหม่ในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/59 มีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มประเภทใหม่ผ่านช่องทาง Cash Van โดยผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยสนับสนุนยอดขายของบริษัทในปีนี้อีกด้วย นอกจากนี้ ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเพิ่มสินค้าจากผู้ประกอบการรายอื่นที่เป็นพันธมิตรกับบริษัทที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Cash Van คือ น้ำยาล้างจาน ซึ่งในไตรมาส 2/59 จะมียอดขายของสินค้าดังกล่าวเริ่มเข้ามาเสริม
ด้านการทำตลาดในต่างประเทศจะเริ่มเห็นการทำการตลาดจากการเข้าเป็นพันธมิตรหลักให้กับทีมฟุตบอล Chelsea (ฤดูกาล 2016) ในช่วงไตรมาส 2/59 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทจะต้องรอดูผลตอบรับที่ได้กลับมาก่อน แต่คาดว่าในปีนี้ยอดขายจากประเทศอังกฤษจะยังเข้ามาไม่มาก เพราะเป็นช่วงเริ่มต้น ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดในภูมิภาค CLMV บริษัทจะเข้าไปปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในตลาดพม่าและเวียดนาม ซึ่งจะช่วยส่งผลในเชิงบวกให้กับยอดขายาม
ส่วนงบลงทุนของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะใช้ราว 600 ล้านบาท โดยจะใช้ขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกระป๋องเพิ่มเป็น 600 ล้านกระป๋อง/ปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 320 ล้านกระป๋อง/ปี โดยจะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ราว 280-300 ล้านบาท และเงินส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร