ดาวโจนส์ปิดขยับลงหลังเจ้าหน้าที่เฟดหนุนขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) โดยภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของเฟด ยังคงออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง รวมทั้งข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอของสหรัฐ
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (23 พ.ค.) ที่ 17,492.93 จุด ลดลง 8.01 จุด หรือ -0.05%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,765.78 จุด ลดลง 3.78 จุด หรือ -0.08% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,048.04 จุด ลดลง 4.28 จุด หรือ -0.21%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวนตลอดทั้งวัน โดยได้รับแรงกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่เฟดยังคงออกมาสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนตัวสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ในปีหน้า
ขณะที่นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ได้แสดงความคิดเห็นเมื่อวานนี้เช่นกันว่า เมื่อพิจารณาจากภาวะในตลาดแรงงานและสถานการณ์เงินเฟ้อในขณะนี้แล้ว การที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม การแสดงความคิดเห็นของประธานเฟดทั้งสองนั้น สอดคล้องกับที่เจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆได้ออกมาแสดงความคิดเห็นก่อนหน้านี้ รวมถึงนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา ซึ่งกล่าวว่า เขายังคงเชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้
ขณะที่นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟด สาขาซาน ฟรานซิสโก กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล และนายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟด สาขาริชมอนด์ กล่าวว่า เฟดควรพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. เนื่องจากเงินเฟ้อกำลังปรับตัวไปสู่ระดับ 2% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายของเฟด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลง 0.7% และข้อมูลของมาร์กิต อิโคโนมิคส์ ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของสหรัฐ อยู่ที่ระดับ 50.5 ลดลงจากระดับ 50.8 ในเดือนเม.ย.
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวผันผวน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ และหุ้นเวริซอน คอมมูนิเคชัน ต่างก็ร่วงลงอย่างหนัก แต่หุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 1.3% หลังจากหนังสือพิมพ์อิโคโนมิค เดลี่รายงานว่า แอปเปิลได้สั่งให้ซัพพลายเออร์หลายแห่งเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่
หุ้นมอนซานโตพุ่งขึ้น 4.4% หลังจากไบเออร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ประกาศยื่นข้อเสนอซื้อกิจการบริษัทมอนซานโต ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเมล็ดพืชรายใหญ่ของสหรัฐ ด้วยเงินสดมูลค่า 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 122 ดอลลาร์ต่อหุ้น ข้อเสนอซื้อดังกล่าวมีมูลค่าสูงกว่าราคาปิดตลาดของหุ้นมอนซานโต ณ วันที่ 9 พ.ค. ถึง 37% ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะมีข่าวแพร่สะพัดว่า ไบเออร์วางแผนควบกิจการกับมอนซานโต
ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ค.จากเฟดสาขาริชมอนด์, ดุลการค้าเดือนเม.ย., ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย. และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนเม.ย., ประมาณการจีดีพีไตรมาส 1/2559 ครั้งที่ 2, การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน