CSP มั่นใจปีนี้พลิกกำไรจากราคาเหล็กฟื้นดันรายได้โต-ปริมาณขายเพิ่ม

CSP มั่นใจปีนี้พลิกกำไรจากราคาเหล็กฟื้นดันรายได้โต-ปริมาณขายเพิ่ม


นายวีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CSP เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจปีนี้ผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไร จากขาดทุนสุทธิ 176.84 ล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการเหล็กในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ รวมทั้งเหล็กสำหรับเสา 4G ที่การประมูลเสร็จสิ้นแล้ว รวมถึงการใช้เหล็กในธุรกิจพลังงานทดแทนโดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์มที่จะต้องใช้เสาและฐานรากเป็นตัวที่มีศักยภาพค่อนข้างมาก

โดยปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าปริมาณขายเหล็กเติบโต 10% มาที่ 1.3 แสนตัน และตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 15% จากปี 58 ที่มีรายได้รวม 2,650 ล้านบาท แต่เนื่องจากไตรมาส 1/59 บริษัทมีรายได้แล้วกว่า 900 ล้านบาท หรือโตกว่า 40% และแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ยังมีทิศทางที่ดีทำให้หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ออกแล้ว อาจมีการพิจารณาปรับเพิ่มเป้ารายได้ทั้งปี 59 เพราะครึ่งปีหลังยังมองว่าตลาดเหล็กยังมีปัจจัยหนุนจากโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐด้วย

ส่วนทิศทางราคาขายเหล็กปีนี้น่าจะทรงตัว โดยไม่ปรับลงหลังจากที่ดีดตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ และคงจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากตามปกติในช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วงฤดูฝน ราคาเหล็กก็จะลดลงตามความต้องการใช้ที่น้อยลงจากงานก่อสร้างที่ทำได้ลำบากขึ้น อย่างไรก็ตามยังต้องรอดูความต้องการใช้เหล็กในส่วนของงานเสา 4G หลังจากที่ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่เสร็จสิ้นการประมูลใบอนุญาต 4G แล้วก็น่าจะเริ่มการขยายเครือข่าย ซึ่งบริษัทก็จะบุกตลาดนี้มากขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจสื่อสารโดยปัจจุบันมีทีมงานที่กำลังศึกษาวิจัยตลาดอยู่ และน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ

โดยมองว่าราคาเหล็กรีดร้อนน่าจะทรงตัวในระดับปัจจุบันที่ระดับ 19 บาท/กิโลกรัม จากปี 58 ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 15 บาท/กิโลกรัม และเพิ่มขึ้นมาที่ 17 บาท/กิโลกรัมในไตรมาส 1/59 ก่อนจะขยับมาอยู่ที่ 19 บาท/กิโลกรัมในไตรมาส 2/59

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากเหล็กรีดร้อน 60% ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด ที่เหลือเป็นเหล็กรีดเย็นและเหล็กเคลือบโดยรายได้เกือบทั้งหมดมาจากภายในประเทศ และส่วนใหญ่เป็นงานภาคเอกชน ภาคก่อสร้าง เป็นต้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 30% ส่วนที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมไฟฟ้า และอุตสาหกรรมตกแต่ง

“ปี 59 มั่นใจกำไรสุทธิโตกระโดดมาสู่ระดับปกติ จากปี 58 ที่ซบเซามีผลขาดทุน ในส่วนของรายได้ถ้าผ่านครึ่งแรกไปแล้วรายได้โตมากกว่า 15% อาจปรับเป้ารายได้ขึ้น ปีนี้ดีมานด์ในประเทศส่วนหนึ่งโครงการภาครัฐเมกะโปรเจกต์ และการกระจายสู่ภูมิภาคมากขึ้น จังหวัดต่าง ๆ มีการขยายการก่อสร้างปริมาณการใช้เหล็กก็เพิ่มขึ้น ซึ่งครึ่งหลังปัจจัยหนุนยังมีต่อเนื่องการจับจ่ายใช้สอยฟื้นขึ้นมาจากปลายปี 58 มีภัยแล้งเกษตรกรไม่มีเงิน แต่ครึ่งหลังปีนี้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นการซ่อมแซม ขยายไปสู่ภูมิภาคก็ดีขึ้น”นายวีรศักดิ์ กล่าว

นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/59 น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่มีกำไร 29 ล้านบาท แต่ปริมาณการขายอาจไม่สูงเท่ากับในไตรมาสแรกเพราะมีช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเม.ย. แต่ราคาขายที่ขยับขึ้นมารวมถึงขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้นช่วยหนุนผลประกอบการได้

ขณะที่ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5% จากไตรมาส 1/59 ที่ทำได้ระดับ 3.2% แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจด้วย โดยบริษัทกำลังศึกษาออกผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น เช่น ท่อเหล็กสำเร็จรูป จากปัจจุบันสินค้ามาร์จิ้นสูงมีสัดส่วนรายได้ราว 10% 

พร้อมกันนี้ก็จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการนำสินค้าสำเร็จรูปไปจำหน่ายเพื่อลดการแข่งขัน และยังมีมาร์จิ้นที่ดีด้วย โดยเน้นตลาดเพื่อนบ้านทั้ง ลาว กัมพูชา และเวียดนามซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตสูงมาก ขณะที่เมียนมามีเหล็กจากจีนเข้ามาทำตลาดจำนวนมากอยู่แล้ว

สำหรับในปีนี้บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เพราะได้ลงทุนขยายโรงงานไปแล้ว และกำลังเป็นช่วงที่เก็บเกี่ยวผลที่ได้ลงทุนไป

Back to top button