TSR คาดผลประกอบการ Q2/59 ดีขึ้น จ่อเปิดธุรกิจปล่อยสินเชื่อ
TSR คาดผลประกอบการ Q2/59 ดีขึ้นจาก Q1/59 ผลจาก NPL มีแนวโน้มลดลง เผยยอดขายเครื่องกรองน้ำโตต่อเนื่อง ลุยขยายสาขาเพิ่มทั้งใน-ตปท. คาดเปิดธุรกิจปล่อยสินเชื่อใน Q4/59 พร้อมตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มเป็น 5% ใน 3ปี
นายวิรัช วงศ์นิรันด์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSR เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 ดีขึ้นจากไตรมาส 1/59 เป็นผลจากการตั้งสำรองหนี้เสียของบริษัทมีแนวโน้มลดลงจากไตรมาส 1/59 หลังจากบริษัทมีการควบคุมคุณภาพหนี้และมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้า ซึ่งทำให้แนวโน้มหนี้เสีย (NPL) ที่ลูกค้าค้างชำระนานเกิน 3 เดือนลดลง โดยปัจจุบัน NPL ของบริษัทอยู่ที่ 3% และคาดว่าจะลดลงในไตรมาส 2/59 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 3/59 ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มการตั้งสำรองในไตรมาส 3/59 จะไม่ต้องมีการตั้งสำรองพิเศษ
ส่วนแนวโน้มยอดขายเครื่องกรองน้ำนั้นยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดีเป็นปัจจัยที่กดดันอยู่ แต่บริษัทใช้กลยุทธ์การขยายสาขาเพื่อทำให้กระจายและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยในวันพุธที่จะถึงนี้บริษัทจะมีการเปิดสาขาที่ 18 ในจังหวัดลำปาง จากสิ้นปี 58 มี 14 สาขา และภายในสิ้นปี 59 บริษัทจะมีสาขาทั้งหมด 21 สาขา ซึ่งอยู่ในแผนการเปิดสาขาใหม่ปีนี้ที่ 5-7 สาขา โดยสาขาที่เหลืออีก 3 สาขา จะทยอยเปิดในครึ่งปีหลัง ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ เพชรบุรี และเชียงราย ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจยอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 พันล้านบาท
สำหรับการขยายตลาดขายเครื่องกรองน้ำในประเทศเวียดนาม อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในเวียดนามเกี่ยวกับรูปแบบของการดำเนินธุรกิจร่วมกัน เช่น การร่วมทุน หรือการที่พันธมิตรเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องกรองน้ำของบริษัทในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในการขยายตลาดไปยังเวียดนามในไตรมาส 4/59
นอกจากนี้ บริษัทจะจัดตั้งบริษัท เธียรสุรัตน์ ลีสซิ่ง จำกัด มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท จำนวน 10 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 5 บาท ซึ่ง TSR ใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท โดยถือหุ้นในสัดส่วน 99.99998% และสมาชิกครอบครัวแจ้งอยู่ 2 คน ถือในสัดส่วนรวม 0.00002% โดยบริษัทดังกล่าว ดำเนินธุรกิจประเภทการปล่อยให้สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อรายย่อย Micro Finance และ Nano Finance, สินเชื่อประเภทลีสซิ่ง และเช่าซื้อ, สินเชื่อทะเบียนรถ, การให้กู้ยืมเงินโดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ หรือรับซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยวิธีขายฝาก และการรับซื้อเอกสารทางการเงินซึ่งบริษัทจะต้องมีการดำเนินการขอในอนุญาตการประกอบธุรกิจกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อน ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน
โดยคาดว่าธุรกิจการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวจะเริ่มให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4/59 ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่จะปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 300-400 ราย จำนวนเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้ 20,000-30,000 บาท/ราย
“ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เราเห็นโอกาส เพราะเรามีฐานลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อเครื่องกรองน้ำกับเราประมาณ 4 แสนคน ซึ่งตรงนี้เราก็สามารถนำมาต่อยอดได้ แต่ก็ไม่คิดที่ไปแข่งกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในตลาด แค่เป็นการต่อยอดฐานลูกค้าที่เรามี ตอนนี้เราจัดตั้งบริษัทแล้ว ต่อไปก็ต้องไปดำเนินการขออนุญาตจากแบงก์ชาติ ก็ใช้เวลาอีก 2-3 เดือน คิดว่าไตรมาส 4 นี้ก็คงเริ่มได้ แต่ธุรกิจปล่อยสินเชื่อก็คงไม่ได้มีสัดส่วนรายได้และกำไรที่มีนัยสำคัญกับบริษัทมากนัก เพราะกำไรจากดอกเบี้ยยังน้อยกว่ากำไรที่ได้จากการขายเครื่องกรองน้ำ”นายวิรัช กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 5% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันยังไม่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ โดยจะมาจากการขยายตลาดขายผลิตภัณฑ์เครื่องกรองน้ำของบริษัทออกไป 3 ประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ได้แก่ ลาว เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท JB ซึ่งเป็นพันธมิตรยักษ์ใหญ่ธุรกิจเทรดดิ้งและธุรกิจลีสซิ่ง ในประเทศลาวมานานเกือบ 20 ปี จัดตั้งบริษัท ทีเอสอาร์ลาว จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน 17.4 ล้านบาท โดย TSR ถือหุ้น 49% และกลุ่ม JB ถือหุ้น 51%
โดยผลิตภัณฑ์ที่เข้าไปขายในประเทศลาวจะเป็นเครื่องกรองน้ำ “SAFE” จะเริ่มทำการขายได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยมีสินค้าทั้งหมด 7 รุ่นที่เข้าไปทดลองทำการตลาด ก่อนที่จะส่งสินค้าที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ไปทำตลาดต่อไป โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายในปีแรกในลาวที่ 30 ล้านบาท
“ผมมั่นใจว่าการร่วมทุนในครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กับทั้งสองฝ่าย ซึ่งเครื่องกรองน้ำ SAFE ถือเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานสากล ซึ่งเห็นได้จากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นผู้นำตลาดเครื่องกรองน้ำระบบขายตรงเบอร์หนึ่งของไทย ขณะที่กลุ่ม JB ก็เป็นผู้ประกอบการเทรดดิ้งและลีสซิ่งที่ทำธุรกิจในลาวมานานเกือบ 20 ปี ซึ่งเขาเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี และมีฐานลูกค้าที่มาก ตรงนี้ก็เป็นโอกาสของเราในการขยายฐานลูกค้าออกไปในลาว เพื่อรับกับการเปิด AEC ก่อนที่บริษัทจะขยายต่อไปในเวียดนาม”นายวิรัช กล่าว