ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 284 จุด! รับราคาน้ำมันฟื้น-คลายวิตก Brexit
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) โดยตลาดปิดในแดนบวกติดต่อกัน 2 วันทำการ เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นกว่า 4% และจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางชั้นนำของโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากปัจจัย Brexit
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (29 มิ.ย.) ที่ 17,694.68 จุด พุ่งขึ้น 284.96 จุด หรือ +1.64%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,779.25 จุด เพิ่มขึ้น 87.38 จุด หรือ +1.86% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,070.77 จุด เพิ่มขึ้น 34.68 จุด หรือ +1.70%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการที่อังกฤษลงมติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากมีการคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า ธนาคารกลางชั้นนำของโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากปัจจัย Brexit โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า เฟดพร้อมที่จะอัดฉีดดอลลาร์เพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาด หลังจากอังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป
ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ญี่ปุ่นจะใช้มาตรการทุกๆด้านเพื่อจำกัดผลกระทบของ Brexit ด้านประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้เรียกร้องให้ธนาคารกลางทั่วโลกกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากภาวะอ่อนแอ และผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษประกาศอัดฉีดเงินทุนพิเศษมูลค่า 2.50 แสนล้านปอนด์ หรือ 3.34 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านโครงการต่างๆที่ธนาคารดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนในที่ประชุมผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) เมื่อวานนี้ บรรดาผู้นำต่างก็แสดงความมุ่งมั่นที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยจะรักษาจำนวน 27 ชาติสมาชิกไว้ หลังอังกฤษลงประชามติออกจาก EU เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีดตัวขึ้นกว่า 4% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนพ.ค. โดยปรับตัวขึ้น 0.4% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญนั้น ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน
หุ้นวอลมาร์ทพุ่งขึ้น 1.3% หลังจากวอลมาร์ทประกาศซื้อหุ้น 5% ใน JD.com ซึ่งจะช่วยให้วอลมาร์ทขยายฐานการลงทุนในจีนได้มากขึ้น, หุ้นไชร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ ทะยานขึ้น 5.7% หลังจากบริษัทประสบความสำเร็จในการทดสอบยารักษาโรคสมาธิสั้น หรือ ADHD, หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น โดยหุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นออราเคิลพุ่งขึ้น 3.6% หุ้นเฟซบุ๊ก และหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 1.3%
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ และหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ต่างก็พุ่งขึ้นอย่างน้อย 3.9% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ปรับขึ้น 4.2% ส่วนหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 2.5% ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือนมิ.ย.ในเขตชิคาโก้