SAMCO รุกเปิดตัวบ้านเดี่ยว 3 โครงการใหม่ มูลค่า 4.4 พันลบ.

SAMCO รุกเปิดตัวบ้านเดี่ยว 3 โครงการใหม่ ใน H2/59 มูลค่า 4.4 พันลบ.


นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังนี้บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัว 3 โครงการใหม่ เนื่องจากมั่นใจในศักยภาพของทำเลที่ตั้ง ทีมงาน และเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการประมาณ 1,200 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวรังสิต คลอง7 มูลค่าโครงการประมาณ 1,900 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม รามอินทรา-วงแหวน มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทได้เปิด Pre-Sale ตั้งแต่เดือน มิ.ย.ให้กับผู้ที่สนใจ พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ ให้เลือกแปลงทำเลที่ดีที่สุดก่อนใคร พร้อมรับส่วนลดสูงสุดมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท พร้อมเร่งโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย วางแผนออกบูธตามอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า แหล่งชุมชน ในละแวกใกล้เคียงโครงการเพื่อแนะนำโครงการใหม่และมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดกระตุ้นการตัดสินใจ

นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งปิดโครงการเดิม 2 โครงการภายในปีนี้ ได้แก่ โครงการสัมมากร รังสิต คลอง 2 และโครงการสัมมากร อควา ดิวินา คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้หมดภายในไตรมาส 3/59 โดยในครึ่งปีแรกสามารถปิดโครงการสัมมากร นิมิตใหม่ เรียบร้อยแล้ว

นายกิตติพล กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 59 ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพและปริมณฑล มียอดโอนสูงถึง 190,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา 55% เป็นผลจากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และเป็นปัจจัยบวกต่อสัมมากรด้วยเช่นกัน ส่งผลให้สัมมากรมียอดรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 1 กว่า 333 ล้านบาท โตขึ้น 106% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว โดยแบ่งสัดส่วนรายได้มาจากบ้าน 60% และคอนโด 40%

นายกิตติพล กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังว่า ถึงแม้ตลาดมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากขาดปัจจัยบวกหรือลบที่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตลาดชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ และระมัดระวังการใช้จ่าย แต่กลับพบแนวโน้มที่ดีจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อบ้าน (Reject Rate) ในไตรมาส 1 ลดลงมาต่ำกว่า 10% จาก 18% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบวกชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินของผู้บริโภคดีขึ้น ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่จะนำเสนอสินค้าคุณภาพในราคาคุ้มค่า พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภค

Back to top button