สุดเจ๋ง! EPCO ธุรกิจไปได้สวย เตรียมดันหุ้นลูกเข้าตลาดต้นปีหน้า

สุดเจ๋ง! EPCO ธุรกิจไปได้สวย เตรียมดันหุ้นลูก อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป เข้าตลาดต้นปีหน้า


คุณยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30-11.00 น. ว่า การเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมบางปูนั้น ล่าสุดได้เซ็น MOU หมดแล้ว โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบประเมินสินทรัพย์ตลอดจนหนี้สินของบริษัท (Due Diligence) จากนั้นจึงจะรอผลจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 ส.ค.นี้

สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าที่บริษัทลงทุนนั้นมี 2 โครงการ โครงการแรกขนาดกำลังการผลิต 120MW ทาง EPCO ถือหุ้น 49.5% จ่ายไฟไปแล้วตั้งแต่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา ส่วนโครงการที่ 2 ขนาดกำลังการผลิต 240 MW ทาง EPCO จะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 30% จะเริ่มจ่ายไฟได้ภายในเดือน ก.ย.นี้

ทั้งนี้ ทางบริษัทคาดว่าจะได้รับการโอนหุ้นประมาณไตรมาส 3/59 และรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/59 มูลค่าการลงทุนเบื้องต้น 2,650 ล้านบาท โดยการใช้เงินสดและออกหุ้นกู้ โดยผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ที่ 12% และคาดว่าในไตรมาส 3/59 จะจ่ายไฟทั้ง 2 โรงงานจำนวน 360 MW หลังจากเข้าซื้อ 2 โรงไฟฟ้าเสร็จสิ้นกำลังการผลิตจะอยู่ที่ 425 MW โดยประมาณ และตั้งเป้าไว้ว่าในปี 61 จะทำกำลังการผลิตได้ถึง 600 MW

ขณะที่ ธุรกิจไฟฟ้าทั้งหมดของ EPCO อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (EP) ซึ่งเป็นบริษัทลูก โดยประมาณไตรมาส 4/59 บริษัทจะขอยื่นไฟลิ่ง และคาดว่าจะเข้าเทรดในปีหน้า เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจาก กลต. ซึ่งปัจจุบันมีการพูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินเรียบร้อยแล้ว

ล่าสุดบริษัท EPCO เริ่มกลับมาทำบรรจุภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งยังให้ผลตอบแทนดีเหมือนในอดีต ขณะที่ภาพรวมกลุ่มสิ่งพิมพ์นั้นมองว่าในช่วง 1 ปี หรือ 2 ปีที่ผ่านมาการเติบโตค่อนข้างที่จะโรยตัว แต่ยังมีธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เข้ามาชดเชยในกลุ่มโรงพิมพ์ได้ และ EPCO ได้มีการลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท ในปีนี้ เพื่อช่วยธุรกิจบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตามใน 3 ปีนี้ คาดว่าจะรุกไปทางธุรกิจพลังงานมากกว่า

ส่วนหลังจากที่บริษัทลูก อีสเทอร์น พาวเวอร์ฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ EPCO ในฐานะบริษัทแม่เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์มาก แม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยลงก็ตาม แต่จะทำให้แต่ละบริษัทมีการบริหารจัดการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากประกอบธุรกิจคนละรูปแบบ ส่งผลให้แต่ละบริษัทต้องยืนได้ด้วยตัวเอง และหลังจากที่ยื่นขอไฟลิ่งคาดว่ากำลังการผลิตจะอยู่ที่ราว 400M ขึ้นไป แบ่งเป็นทั้งพลังงานทดแทนและพลังงานหลัก

Back to top button