CHO งง! “เบสท์ริน กรุ๊ป” ยอมขาดทุนเอาชนะประมูล NGV
CHO งง! "เบสท์ริน กรุ๊ป" ยอมขาดทุนเอาชนะประมูล NGV พร้อมห่วงประชาชนอาจใช้บริการได้ไม่นาน
นาย สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ” ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30-11.00 น. ว่า จากผลการประกวดโครงการรถเมล์ NGV 489 คัน ทำให้ราคาหุ้น CHO วานนี้ (11 ก.ค.) ปรับตัวลงกว่า 14% แต่จริงๆแล้วราคาที่ปรับตัวลงอาจจะเป็นราคาที่นักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทจะประมูลได้ เพราะเคยชนะมาแล้วครั้งนึง แต่จริงๆแล้วตามที่บริษัทประกาศไปทางผู้ถือหุ้นและทางนักลงทุนว่าปีนี้ผลการเติบโตของบริษัทคือ 10% ซึ่งเราไม่ได้เอาโครงการ NGV มานับรวมอยู่ด้วย ส่วนถ้าบริษัทประมูลโครงการ NGV ได้ก็จะถือว่าเป็นโบนัส
โดยบริษัทชี้แจงเกี่ยวกับธุรกิจดังนี้ 1.NGV ไม่อยู่ในผลคาดการณ์ของบริษัทเพราะฉะนั้นการที่บริษัทไม่ชนะการประมูลก็ไม่ทำให้บริษัทต้องปรับเป้ารายได้ 2.บริษัทยังยืนยันเป้าเติบโตที่ 10% เช่นเดิม และ 3.จากการที่บริษัทประมูลครั้งแรกแล้ว ขสมก.ยกเลิกการประมูล ทางบริษัทได้ฟ้องศาลปกครองแล้วทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ซึ่งศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้บริษัทอาจจะได้ผลกระทบทางบวกจากค่าอัตราแลกเปลี่ยนเรื่องของเงินยูโรกับเงินปอนด์ขึ้นมาช่วยบ้าง เพราะทางบริษัทมีรายรับเป็นยูโรที่ฟิกซ์ไว้แล้ว
ทั้งนี้หากมีการผิดพลาดประการใดในการประมูลครั้งนี้และมีการยกเลิกการประมูลอีกครั้งนึง ทางบริษัทจะขอเข้าร่วมประมูลอีก เพราะทางมติบอร์ดบอกไว้ว่าต้องสู้ให้ถึงที่สุด แต่งานประมูลครั้งนี้ราคาของทางคู่แข่งถูกเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วรถเมล์ระดับนี้ราคาเท่านี้ทางบริษัทคิดว่าทำได้ยากมาก และทางบริษัทก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคู่แข่งจะสามารถทำในราคานี้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามเมื่อครั้งที่บริษัทชนะการประมูลด้วยราคา 4,021 ล้านบาท บริษัทยังมี Net Profit Margin แค่ 7% ขณะที่คู่แข่งชนะประมูลครั้งนี้ด้วยราคา 3,389 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าราคาลดลงจากการประมูลครั้งก่อนมากถึง 600 ล้านบาท และเมื่อเทียบต้นทุนการผลิตรถครั้งก่อน CHO จะผลิตได้อยู่ที่คันละ 3.5 ล้านบาท แต่มาแต่ในวันนี้ผู้ชนะทำถูกกว่าเหลือประมาณคันละ 2.5 ล้านบาท ตรงนี้สะท้อนอย่างเห็นได้ชัดว่าผู้ชนะรายใหม่มีผลขาดทุนจากการประมูลรอบนี้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดศูนย์ซ่อมครบวงจร ซึ่งสาขาแรกจะเปิดที่จังหวัดชลบุรี และอีก 7 แห่งทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะเป็นศูนย์ซ่อมเครื่องยนต์และตัวถังรถยนต์ (One Stop Services) เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ศูนย์ละประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี และถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตของบริษัทในอนาคต