ไทยเฉยเมยทายท้าวิชามาร
กรธ.ยอมรับแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองกล่าวหาเป็น “ร่างรัฐธรรมนูญปลอม” พิมพ์สี่สี มีกลุ่มทุนหนุนหลังใช้วิชามาร ฯลฯ แท้ที่จริงคือ “ความเห็นแย้ง” ของนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่กระนั้นยังไม่วายตั้งแง่ว่าบิดเบือนเพราะใช้ถ้อยคำเช่น “ส.ว.ทหารแต่งตั้งโดยทหาร” หรือ “องค์กรแต่งตั้งอยู่เหนือประชาชน”
ใบตองแห้ง
กรธ.ยอมรับแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองกล่าวหาเป็น “ร่างรัฐธรรมนูญปลอม” พิมพ์สี่สี มีกลุ่มทุนหนุนหลังใช้วิชามาร ฯลฯ แท้ที่จริงคือ “ความเห็นแย้ง” ของนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่กระนั้นยังไม่วายตั้งแง่ว่าบิดเบือนเพราะใช้ถ้อยคำเช่น “ส.ว.ทหารแต่งตั้งโดยทหาร” หรือ “องค์กรแต่งตั้งอยู่เหนือประชาชน”
แต่กกต.ยังไม่ทันชี้ว่าผิดจริงไหมตำรวจราชบุรีก็จับ 4 นักกิจกรรมพร้อมเอกสารในรถ ในความผิดฐาน “เชื่อว่าจะแจก” แถมพ่วงนักข่าวประชาไทเมื่อองค์กรวิชาชีพสื่อผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนวิพากษ์วิจารณ์การจับนักข่าวตำรวจทหารก็ไปค้นสำนักงานประชาไท
พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ต้องมีใครชี้นำคนที่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีน่าจะวินิจฉัยเองได้ว่าอะไรแฟร์ไม่แฟร์ อะไรยุติธรรมไม่ยุติธรรมเว้นแต่บางคนที่ยังไร้สติจนเชื่อหัวปักหัวปำว่านี่คือหนทาง “ปราบโกง”
แต่ทำไมคนส่วนใหญ่เฉยเมยโดยเฉพาะคนชั้นกลางที่มีปากเสียงในสังคมโดยเฉพาะสื่อกระแสหลักซึ่งหาวิธีหลีกเลี่ยงด้วยการ “กลบข่าว” ไม่ให้น้ำหนักไม่ให้ความสำคัญ ตั้งแต่ครั้งจับ 7 ประชาธิปไตยใหม่ฐานชุมนุมเกิน 5 คนซึ่งกระแสกดดันจากต่างประเทศสูงกว่าภายในที่กลายเป็น “ไทยเฉยเมย”
คำตอบคือประชามติครั้งนี้เป็น “ประชามติแห่งความกลัว” ไม่ใช่แค่ความกลัวทักษิณของคนที่เกลียดชังไม่ใช่แค่ความกลัวอำนาจของคนชนบทคนชั้นกลางระดับล่างหากยังเป็นความหวาดกลัว “บ้านเมืองวุ่นวาย” ของคนชั้นกลางในเมืองทั่วๆไปที่ไม่เลือกข้างหนึ่งข้างใดชัดเจนซึ่งพูดให้ถึงที่สุดความกลัวประเภทหลังเป็นฐานอำนาจให้คสช.อยู่นาน 2 ปีกว่า
คสช.ไม่ได้ทำอะไรถูกใจคนเสียหมดบางครั้งไม่พอใจด้วยซ้ำแต่คนส่วนใหญ่ยังหยวนๆเพราะกลัว คสช.พ้นอำนาจไปแล้วไม่รู้จะเกิดอะไรห่วงกังวลสถานะตัวเองมากกว่าความถูกต้อง ความชอบธรรมหรือแม้แต่ความยุติธรรม
คนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยรู้ว่าอะไรถูกไม่ถูกอย่างน้อยก็รู้ว่าอะไรฝืนเหตุผลอะไรคือการปฏิบัติหรือเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแต่เลือกที่จะ “เอาหัวมุดทราย” เช่น ไม่อ่านข่าวประชาธิปไตยใหม่เลือกอ่านข่าว “ดัชนีเชื่อมั่นไทยพุ่ง” หรือไม่ก็ข่าว “หญิงไก่” เพื่อปลอบใจว่าสังคมไทยยังมีความยุติธรรมส่วนเรื่องการเมืองไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ยัง “ไม่มีใครตาย”
อ.นิธิเอียวศรีวงศ์สรุปได้เฉียบคมว่าคนชั้นกลางไทยมีฐานะเศรษฐกิจดีขึ้นตลอดไม่ว่าการเมืองระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตยจึงไม่มีสำนึกผูกพันกับระบบคุณค่าทางการเมืองใดๆตรงข้ามไม่ว่าระบบใดก็ใช้ไต่เต้าได้เสมอ (จิ้มก้องได้เสมอ)
ในมิติทางสังคมคนชั้นกลางไทยเชื่อว่าตนมีศีลธรรมความจริงแล้วรากฐานศีลธรรมที่ถูกปลูกฝังเป็นแค่ศีลธรรมสำหรับผู้ถูกปกครองคือทำความดีที่เป็นคุณต่อตนเองและครอบครัวแต่ขาดสำนึกคุณธรรมทางสังคมสำนึกเพื่อส่วนรวมเพื่อความยุติธรรมความถูกต้อง
เช่นหลัง 6 ตุลา 2519 สังคมไทยไม่เคยสนใจใครถูกผิดแค่หยวนๆครึ่งใบแล้วก็สอนให้เด็กเข้าคิวและทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางเหมือนยุคนี้สมัยนี้ที่หาช่องทาง “ทำความดี” แบบไม่เป็นพิษเป็นภัยใส่ตัวด้วยการปลูกป่า รักต้นไม้ลดใช้ถุงก๊อบแก๊บในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้วัฒนธรรมบริโภคนิยม
สำนึกแห่งความถูกต้องชอบธรรมคือแก่นค้ำจุนสังคมสมัยใหม่ถ้าขาดหายไปเสียแล้วก็เป็นได้แค่สังคมที่อยู่บนการฉวยโอกาสทางเศรษฐกิจการเมืองไปวันๆเท่านั้นเอง