ปล้ำผีลุก …สงครามวันเดียวแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

พลันที่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรมอย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศงบสวยชนิดหักปากกานักวิเคราะห์ย่อยยับ ข่าวลือก็ตามมาว่า เงินทองที่เหลือเฟือของบริษัทนี้ คงจะต้องเอาไปซื้อกิจการอะไรสักอย่าง

จะด้วยเหตุผลว่า เพื่อต่อยอดธุรกิจ หรือได้ของถูก  หรือ ไม่ให้เงินบูดเสียเปล่า ก็แล้วแต่…สุดจะสรรหากันมา

เชื่อถือได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อย่างหลังน่าจะมากกว่าอย่างแรก

ล่าสุดเช้าวานนี้ มีการลงข่าวเป็นตุเป็นตะว่า บริษัทปูนรายใหญ่รายหนึ่ง (ไม่ระบุชื่อ) สนใจจะเข้าซื้อกิจการ หรือ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ขอร่วมทุน บริษัท บางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน) หรือ BSBM ผู้ผลิตเหล็กก่อสร้างในเครือ สหวิริยา หรือ SSI

เหตุผลที่เอามาอ้างก็เลื่อนลอยอย่างมาก คือ ต้องการขขยายไลน์สินค้าเหล็กเพื่อก่อสร้าง เอาไว้รองรับปริมาณความต้องการเหล็กจากงานก่อสร้างในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากโครงการเมกะโปรเจ็กต์ หรือ โครงสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐบาล ภายใต้งบประมาณมหาศาล

หากคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่า BSBM นั้น มีผลิตภัณฑ์เหล็กก่อสร้างในมือประกอบด้วย เหล็กเส้นข้ออ้อย เหล็กเส้นกลม และเหล็กเส้นเล็ก ….ก็ดูเข้าเค้า

แม้ข่าวจะไม่ได้บอกชื่อว่า บริษัทปูนรายใหญ่นั้นชื่ออะไร แต่การระบุว่า เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ ต้องการขยายไลน์การผลิตสินค้าที่มีทั้ง ปูนซีเมนต์ กระดาษ และ เหล็ก อย่างครบวงจร…ก็คงไม่ต้องคาดเดาว่าเป็นบริษัทไหน เพราะบริษัทอื่นในเมืองไทยที่มีทั้งปูน และกระดาษ หาได้มีไม่ …นอกจาก SCC

ข่าวดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้น BSBM ที่ทำท่าจะทะยานติดเครื่องรอมาตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ 27 กรกฎาคม มาแล้วระดับหนึ่งจากระดับ 1.20 บาท มาปิดที่ระดับ 1.26 บาท เกิดการทะยานแรงเมื่อตอนเปิดตลาดเช้าวานนี้ไปถึงราคาสูงสุด 1.37 บาท บวกไป 3.97% ก่อนที่จะมีแรงขายออกมาจนปิดตลาดที่ระดับราคา 1.36 บาท

ในเกมหุ้นแล้ว ถือว่า จบรอบ ของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “สงครามวันเดียว”….เพราะไม่มีการยืนยันจาก BSBM และ SCC…จึงไม่มีอะไรในกอไผ่

สำหรับนักลงทุนที่ไม่ความจำเสื่อมเพราะอัลไซเมอร์เสียก่อน ต้องรู้ดีว่า ค่าย SCC นั้นเคยมีธุรกิจเหล็กในมือมาก่อน และท้ายสุดหลังจากพิจารณาทบทวนจริงจัง ก็ตัดสินใจโละธุรกิจเหล็กออกจากมือทั้งหมด

กาลครั้งหนึ่ง หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้งล่วงไปหลายปี  SCC เคยเข้าซื้อกิจการเหล็กจากกลุ่มหอรุ่งเรือง คือ บริษัท นครไทย สตริปมิลล์ จำกัด (มหาชน ) หรือ NSM มา เพื่อหวังฟื้นกิจการ แต่ก็ไปไม่รอด จนต้องขายทิ้งต่อไปให้กลุ่มตาต้ากรุ๊ปของอินเดียมารับมรดกบาปไป …แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น TSTH  ซึ่งก็ยังจดทะเบียนในตลาดมาถึงวันนี้

หากพิจารณาข้อเท็จจริงว่า ยามนี้ผลประกอบการของ TSTH เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวอย่างเปราะบาง และยังมีขาดทุนสะสมคงค้างอยู่มากพอสมควร จนกระทั่งราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊ค….ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ BSBM เช่นกัน

คงไม่มีเหตุผลใดที่ SCC จะหวนย้อนกลับไปซื้อกิจการที่มีโอกาสทำกำไรต่ำกว่าขาดทุนเป็นแน่แท้

การที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊ค ไม่ได้หมายความว่า เป็นหุ้นที่ราคา “ถูก” เสมอไป …แม้ว่าจะราคาต่ำแค่ไหน…เพราะหากซื้อมาแล้ว อาจจะเป็นหุ้นที่ราคาต่ำจริง…แต่ “แพงโคตร” ก็ย่อมได้

ความจริงข้อนี้ ถามนักบัญชีระดับ “ม้าแก่ชำนาญทาง” ที่ไหน ก็ย่อมได้คำตอบเดียวกัน

 แม้ว่า ข้อเท็จจริงปัจจุบัน  BSBM มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้น จากการมีฐานเงินทุนสูง มีกระแสเงินสด 119.78 ล้านบาท กำไรสะสม 83.98 ล้านบาท ส่วนเกินมูลค่าหุ้น 621.85 ล้านบาท และที่สำคัญอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.03 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าบุ๊คแวลู ที่ 1.62 บาท แต่….อัตรากำไรสุทธิที่ต่ำเพียงแค่ 8.88% และขาดทุนสะสมที่ยังเหลืออยู่มากถึง 1.1 หมื่นล้านบาทเศษ…ก็ถือว่ายังขี้เหร่อยู่มาก

ไม่เพียงพอที่จะชวนให้เข้าไปซื้อกิจการ…ใครจะบ้าเข้าไปซื้อ

ที่สำคัญ BSBM ยังเป็นที่เชิดหน้าชูตาของ SSI ที่กำลังปรับโครงสร้างหนี้กับบรรดาเจ้าหนี้อย่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารทิสโก้ ในศาลล้มละลายกลางอยู่…ก็คงไม่ง่ายที่จะมีดีลซื้อขายเกิดขึ้น

ถ้าเอ่ยถึงธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นเครือข่ายของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เช่นกัน …หาก SCC จะเข้าไปซื้อกิจการ หรือ ร่วมทุนกับ BSBM จริง…มีหรือ จะซื่อบื้อ ไม่ยอมตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของ BSBM และ SSI เสียก่อน

นิทานข้างกระดานหุ้นของการเข้าซื้อกิจการ BSBM โดย SCC จึงไร้เหตุผลในทางธุรกิจ…แต่มีเหตุผลในเกมดันราคาหุ้น

งานนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังข่าว “เป็นตุเป็นตะ” นี้ ต้องการแค่ดันราคาหุ้น BSBM สักวันสองวันเท่านั้นเอง …เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้

แมงเม่าที่จ่ายค่าโง่ไปแล้ว…ทราบแล้วเปลี่ยน