พาราสาวะถี อรชุน

เข้าช่วง 100 เมตรสุดท้ายแล้วสำหรับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฝ่ายไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเดิมทีมีเฉพาะกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง พรรคเพื่อไทยและนปช. แต่ล่าสุดหลัง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาประกาศท่าที ทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดลิ่วล้อของพรรคเก่าแก่ ทยอยออกมาแสดงความชัดเจนตามลูกพี่กันหน้าสลอน


เข้าช่วง 100 เมตรสุดท้ายแล้วสำหรับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฝ่ายไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเดิมทีมีเฉพาะกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง พรรคเพื่อไทยและนปช. แต่ล่าสุดหลัง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาประกาศท่าที ทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดลิ่วล้อของพรรคเก่าแก่ ทยอยออกมาแสดงความชัดเจนตามลูกพี่กันหน้าสลอน

แต่คนหนึ่งซึ่งยืนยันสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาโดยตลอดและช่วงหลังงัดมุกเดิมมาใช้ด้วยการใส่ชุดกปปส.และห้อยนกหวีดนั่นก็คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เมื่อวันเสาร์ประกาศลั่นชีวิตที่สูญเสียไปของมวลมหาประชาชนจะต้องไม่สูญเปล่าวันที่ 7 สิงหาคมจะได้รู้กัน เรียกได้ว่าออกลูกอ้อนขอความเห็นใจจากแนวร่วมกันอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม คนที่คอยดักคอหลังการเฟซบุ๊คไลฟ์ของเทพเทือกมาตลอดนั่นก็คือ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ทันทีที่แกนนำกปปส.ประกาศอย่างนั้น เดอะตู่ก็ออกมาสวนทันควันว่า การจะประกาศตัวว่าเป็นวีรชนนั้นต้องเข้าใจความหมายให้ถ่องแท้ เพราะวีรชนคือผู้พลีชีพเพื่อประชาธิปไตย มิใช่เพื่อเผด็จการ เห็นภาพได้ชัดเจน

ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานย่อมจะประจานการกระทำของสิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ถามว่าสิ่งที่เทพเทือกเคลื่อนไหวมานั้นเพื่ออะไร การยกยอปอปั้นประกาศความเป็นพวกกับคณะรัฐประหารมาโดยตลอด มิหนำซ้ำ ยังมาหลับหูหลับตาเชียร์ร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการ ใครเชื่อว่านี่คือผลงานของผู้นำวีรชนไม่บ้าก็โง่แล้ว

แนวทางเช่นนี้ เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับผู้นำรัฐประหาร คงเป็นดั่ง จาตุรนต์ ฉายแสง ฉายภาพของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านเฟซบุ๊คระบุว่า ฟังจากการพูดปาฐกถาล่าสุดแล้วต้องยอมรับเลยว่าบิ๊กตู่นอกจากไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” และ “ประชามติ” แล้ว ยังไม่มีจิตสำนึกที่เป็นประชาธิปไตยด้วยตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้

ก่อนจะขยายความต่อว่า องค์รัฏฐาธิปัตย์ขอให้ทุกคนร่วมมือกันสร้างระบบใหม่ให้กับประเทศไทย ขอให้ไว้ใจเราบ้าง ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะกลับไปที่เดิม คงต้องถามว่าระบบใหม่นั้นเป็นยังไง อย่างที่ทำมาสองปีกว่านี้หรือเปล่า ถ้าใช่เขาไม่เรียกระบบใหม่ เขาเรียกระบบเผด็จการ แต่ถ้าหมายถึงระบบใหม่ตามร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ใช่ระบบใหม่อยู่ดี แต่เป็นระบบที่ย้อนยุคถอยหลังไปหลายสิบปี

นั่นจึงเป็นปุจฉาต่อมาว่า “แล้วจะให้ประชาชนร่วมมือยังไง” พลเอกประยุทธ์ยังบอกอีกว่า ทั้งนักการเมือง ทหาร รัฐบาล คสช. จากวันนี้เป็นต้นไปต้องช่วยกันทำให้ประเทศดีขึ้น ไม่ใช่มาขัดแย้งกันด้วยประชาธิปไตย ลงประชามติเลือกตั้ง พูดมา 2 ปีแล้วยังไม่เห็นพูดอะไรใหม่บ้างว่าจะทำอะไรเมื่อเข้ามา อยากจะบอกว่านักการเมืองเขาก็อยากจะช่วยบ้านเมืองกันทั้งนั้น แต่ท่านไม่เคยเปิดโอกาสให้ทำอะไรได้เลย

มิหนำซ้ำ ยังพูดถึงพวกเขาแต่ในทางเสียๆ หายๆ อยู่ฝ่ายเดียว ที่เขาต้องพูดเรื่องประชาธิปไตย ประชามติมา 2 ปีก็เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และพวกท่านก็ทำไม่เสร็จให้ได้ใช้เสียทีมา 2 ปีกว่าแล้ว ส่วนที่บอกว่านักการเมืองไม่พูดอะไรว่าจะเข้ามาทำอะไร ก็เพราะเขารู้ว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านก็คงจะมีแต่พวกท่านเป็นหลักที่จะทำอะไรได้

ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน พวกท่านก็จะกำหนดไว้หมดและก็จะคอยกำกับให้ใครๆ ต้องทำตามไปอีกเป็นสิบๆ ปี แล้วเขาจะไปพูดว่าเข้ามาแล้วจะทำอะไรให้เสียเวลาทำไม เรื่องนี้ก็คือ เรื่องเดียวกับการสืบทอดอำนาจที่ท่านทำเป็นไขสือว่าไม่เคยคิดนั่นแหละ นอกจากนั้น ท่านผู้นำยังพูดอีกว่า ที่มาพูดกันว่าประชาชนต้องการประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวโดยไม่พูดเรื่องอื่น ทำให้ผู้คนสับสนอลหม่าน ทำประชามติเขาวุ่นไปหมด

ความจริงเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียว พวกท่านบริหารล้มเหลวอย่างไร เศรษฐกิจเสียหายอย่างไรเขาก็พยายามพูดกัน แต่ถูกพวกท่านปิดกั้นขัดขวางเขา พอพูดก็จับเอาไปขัง ไปอบรมเสียบ่อยๆ เขาก็เลยพูดกันได้ไม่มาก แต่ที่ว่าทำให้ผู้คนสับสนอลหม่าน ทำประชามติสับสนไปหมดนั้น ท่านไม่เข้าใจเองว่าประชามตินั้นเขาต้องให้คนเขาแสดงความเห็นได้เต็มที่ทุกฝ่าย

หากเปิดให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีนั่นแหละเขาจึงจะเรียกว่าประชามติ ไม่ใช่ให้คนไปคุกคาม ละเมิดสิทธิเสรีภาพของเขาอย่างที่พวกท่านทำอยู่ ที่ทำให้สับสนอลหม่านก็เพราะพวกของท่านไปจับคนโน้นจับคนนี้แล้วยัดข้อหาร้ายแรงให้คนบริสุทธิ์และยังชี้นำแบบบิดเบือนกันอยู่ฝ่ายเดียวอีกด้วยนั่นแหละ

ก่อนที่จาตุรนต์จะตบท้ายว่า อยากให้พลเอกประยุทธ์ใช้เวลาที่เหลืออีกไม่กี่วันก่อนวันลงประชามติ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงประชามติเสียใหม่ ส่งเสริมให้เกิดการแสดงความเห็นได้อย่างเสรี ให้การลงประชามติครั้งนี้เป็นไปอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ปล่อยให้มีการคุกคามละเมิดสิทธิเสรีภาพและปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นอย่างที่เป็นอยู่

ความเห็นดังกล่าวของเดอะอ๋อยสอดรับกับข้อคิดจาก นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ ที่ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก หากท่านผู้นำสูงสุดและผู้มีอำนาจทุกคนมีตรรกะเหมือนคนส่วนใหญ่ ที่จะยินดีให้มีการถกแถลงหรือดีเบตได้อย่างเสรี เพราะหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเขียนมาอย่างดีเลิศตามราคาคุยที่กล่าวไว้ การถกแถลงในแต่ละเวทีย่อมเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าใจในเนื้อหาและสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มากขึ้น

แต่การไม่เปิดโอกาสให้มีการถกแถลงอย่างเปิดเผย ไม่ยอมให้อัดเทปอัดเสียงและห้ามบุคคลบางคนแสดงความคิดเห็น ข้อห้ามเหล่านี้จึงสะท้อนภาพตรงข้ามให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจไม่ดีเลิศเหมือนราคาคุยใช่หรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อบกพร่องมากมายจนเกินกว่าจะปล่อยให้ทุกฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเสรี

ส่วนการสร้างจุดขายว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการปราบโกงก็ออกมุกแป้ก เพราะขณะที่ผู้มีอำนาจพยายามโฆษณาว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกนำมาใช้ปราบนักการเมืองฉ้อฉล ก็ปรากฏเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่อง ใครผิด ใครถูก ใครทุจริตยังไม่มีคำตัดสิน แต่เรื่อง จีที 200  เรือเหาะ  รถเกราะ จนถึงการขุดลอกคูคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เป็นเรื่องที่ได้เห็นและตั้งข้อสังเกตกันได้เองว่ารัฐธรรมนูญซึ่งมีที่มาจากคสช.จะปราบโกงได้จริงหรือไม่

Back to top button