BIG หมดรอบ..หรือได้เวลาซื้อใหม่???แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ใครๆ (ที่ไม่ไร้เดียงสาจนเกินกว่าจะเข้าตลาดหุ้นไทย) ย่อมรู้ดีว่า ราคาหุ้นของบริษัทขายกล้องและอุปกรณ์สารพัด บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG โตวันโตคืนไม่จำกัด เพราะมีสาขามากกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ ยากที่คู่แข่งขันจะตามได้ทันในด้านการตลาด
ใครๆ (ที่ไม่ไร้เดียงสาจนเกินกว่าจะเข้าตลาดหุ้นไทย) ย่อมรู้ดีว่า ราคาหุ้นของบริษัทขายกล้องและอุปกรณ์สารพัด บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG โตวันโตคืนไม่จำกัด เพราะมีสาขามากกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ ยากที่คู่แข่งขันจะตามได้ทันในด้านการตลาด
ราคาหุ้น BIG ถูกนักวิเคราะห์ทุกสำนักทยอยปรับเป้าหมายเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งล่าสุด อยู่ระหว่าง 4.80-5.00 บาท
ราคาหุ้น BIG ถูกดันขึ้นมาจากระดับ 1.50 บาท เมื่อสองเดือนก่อน มาถึงเกือบ 5 บาท ชนิดลากยาว…ลากยาว…กันมาเรื่อย จนมีคำถามว่า เมื่อไรจะถึงเวลาขาลงเสียที
คำตอบอยู่ที่เมื่อวานนี้เอง…วันที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย ทะลุยืนปิดเหนือ 1,540 จุด ทำนิวไฮของปี 2559 สำเร็จอีกครั้ง เมื่อราคาหุ้น BIG ถูกทิ้งดิ่งเมื่อตอนตลาดภาคบ่าย ร่วงลงมาแรงจากระดับสูงสุดของวัน 4.94 บาท มาปิดท้ายตลาดที่ 4.50 จุด หลังจากประกาศงบการเงินไตรมาสสอง 2559 ออกมาดีมากเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน แต่ต่ำกว่าไตรมาสแรก
กำไรดีขนาดไหน ก็ไม่อาจจะประคองราคาหุ้นที่ถือว่าหมดรอบ…จะหมดเพราะสาเหตุ ขายเมื่อทิ้งจริงแล้ว ..หรือขายเพราะหมดรอบของการลากเพื่อทำกำไร…เอาไว้หาคำตอบกัน
พูดถึงงบการเงินของ BIG ไตรมาสสองกันก่อน
นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ BIG รายงานว่า มีรายได้รวม 1,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือกำไรต่อหุ้น 0.05 บาท ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 59 มีรายได้รวม 2,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และพลิกมีกำไรสุทธิ 419 ล้านบาท เป็นผลจากภาพรวมตลาดกล้องถ่ายภาพในช่วงครึ่งปีแรกยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนกระแสเศรษฐกิจ เนื่องจากบริษัทมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำตลาด
กำไรในไตรมาสสองนี้ หากเทียบกับไตรมาสแรก ถือว่า ลดลงมากพอสมควรเทียบกับ 234.20 ล้านบาท แม้จะรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ที่ระดับ 14.4 % ที่ยังสวยงาม ส่วนหนึ่งมาจากวันหยุดเยอะ ทำให้ยอดรายได้ถดถอยลงจากระดับ 1,395.92 ล้านบาทของไตรมาสแรก มาเหลือที่ระดับ 1,136.20 ล้านบาท ส่วนหนึ่งที่ลดลงจากไตรมาสแรกเพราะไตรมาสนี้มีการเสียภาษีเพิ่มขึ้นมากถึง 45.65 ล้านบาท หรือ 128% ไม่เหมือนช่วงก่อนหน้าที่มีตัวเลขเสียภาษีต่ำเพราะยังมีตัวเลขขาดทุนสะสมคั่งค้างอยู่ หรือมีกำไรต่ำ
เพียงแต่การรักษาจุดแข็งสำคัญ คือยอดขายที่ยังโดดเด่นต่อเนื่อง และควบคุมให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคงที่ และต้นทุนการเงินลดลง เพราะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้มากมายเหมือนในอดีต ยังเป็นจุดขายที่ไม่เปลี่ยนแปลง
งานนี้ เอ็มดีใหญ่อย่าง นายธนสิทธิ์ เห็นการพุ่งขึ้นของกำไรที่โดดเด่นครึ่งแรกของปี ก็เลยอดรนทนไม่ไหว ออกมาตอกย้ำความสำเร็จว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งบริษัทเตรียมจัด 2 อีเวนต์ใหญ่ประจำปี พร้อมโปรโมชั่นพิเศษร่วมกับผู้ประกอบการกล้องถ่ายภาพค่ายยักษ์ใหญ่ เพื่อกระตุ้นยอดขายภายในงาน โดยในเดือนกันยายน เตรียมจัดงาน Big Camera Big Pro Days ครั้งที่ 10 ซึ่งเป็นงานที่บริษัทจัดขึ้นเอง และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดีเยี่ยมตลอด และในเดือนพฤศจิกายน เตรียมเข้าร่วมงาน Photo Fair 2016 ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ตลาดกล้องถ่ายภาพยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ค่ายกล้องถ่ายภาพยักษ์ใหญ่อย่าง Fuji หรือ Olympus เตรียมเปิดตัวรุ่นใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมั่นใจว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะเติบโตเกิน 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 4,767 ล้านบาท
นายธนสิทธิ์ ยืนยัน…ชนิดนอนมา โดยไม่มีพระนำ…ว่า ตลอดปี 2559 รายได้ และกำไร ของ BIG จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากยอดขายกล้องที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผ่านสาขาเครือข่าย Big Camera ในเครือกว่า 245 แห่ง ครอบคลุมการให้บริการลูกค้าทั่วประเทศ
ความมั่นใจดังกล่าว ไม่ได้ช่วยให้ราคาหุ้น BIG วิ่งทะลุเพดานไปต่อ แต่กลับวิ่งสวนทางตรงกันข้าม ชนิดไม่มีหูรูดกันเลยทีเดียว
คำอธิบายเบื้องต้นคือ หมดรอบหลังจากมีการซื้อดันราคาจาก “ไอ้โม่งขาใหญ่” ขึ้นมากกว่า 3 เท่าของราคาเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้า
การวิ่งสวนทางของราคาเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน ไม่ใช่เรื่องแปลก คำถามคือ เป็นแค่ sell on the fact หรือ เป็นภาวะปรับฐานหลังจาก “หมดรอบ” เพราะนักวิเคราะห์บางคนมองว่า ราคาได้เต็มมูลค่าและ “ตลาดรับรู้ไปแล้ว”
คำตอบคือ เป็นได้ทั้งสองอย่าง ที่ประจวบเหมาะกันพอดี
อย่างแรกเกิดขึ้นเพราะ ค่าพี/อีก่อนปรับตัวอยู่ที่ระดับ 27.52 เท่า ดังนั้น หากราคาร่วงลง ก็จะอยู่ที่ระดับ 25 เท่า
ส่วนอย่างหลัง ราคาที่ร่วงลงมา สู่ความสมเหตุสมผล เหมาะสำหรับการทยอยเก็บสะสมรอบใหม่ รอเวลาทะยานขึ้นต่อไป หากว่าผลประกอบการไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
ท้ายที่สุด ราคาหุ้นก็ยังคงต้องอาศัยผลประกอบการดันอยู่ดี…ไม่ใช่ขึ้นโดยไม่มีพื้นฐานอะไรรองรับ
การร่วงของราคา BIG เมื่อวานนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับการซื้อระลอกใหม่ เพื่อให้พวก “ขายหมู” …เจ็บใจเล่นๆ
หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…เว้นเสียแต่ว่าวันนี้จะลงต่อไปที่ระดับ ต่ำกว่า 4.00 บาท …ก็คงต้องหาคำอธิบายใหม่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อิ อิ อิ”