สุ้มเสียงที่เริ่มเปลี่ยนพลวัต 2016
เมื่อวานนี้ แม้ว่าดัชนีตลาดจะทำนิวไฮอีกครั้งของปีนี้ที่ระดับเกือบทะลวงผ่านแนวต้าน 1,550 จุด โดยที่ต่างชาติยังคงมุดหัวเข้าซื้อหุ้นต่อไป โดยมีตัวเลขซื้อสุทธิมากถึง 5.29พันล้านบาท รวมแล้วตลอดปีนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิสะสมมากถึง94,726.47 ล้านบาทเข้าไปแล้ว
วิษณุ โชลิตกุล
เมื่อวานนี้ แม้ว่าดัชนีตลาดจะทำนิวไฮอีกครั้งของปีนี้ที่ระดับเกือบทะลวงผ่านแนวต้าน 1,550 จุด โดยที่ต่างชาติยังคงมุดหัวเข้าซื้อหุ้นต่อไป โดยมีตัวเลขซื้อสุทธิมากถึง 5.29พันล้านบาท รวมแล้วตลอดปีนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิสะสมมากถึง94,726.47 ล้านบาทเข้าไปแล้ว
หากวันนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิอีก 5.3 พันล้านบาทเศษ ก็จะมียอดสะสมปีนี้ทะลุ 1 แสนล้านบาทแน่นอน
แม้ต่างชาติ หรือกระแสฟันด์โฟลว์ไหลเข้าของต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นช่วงนี้ จะโดดเด่นมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันดีว่า เงินไหลเข้านี้ มีโอกาสที่จะไหลออกไปเมื่อใดก็ได้ ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการคือ 1) ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยต่ำว่าตลาดอื่นๆ 2)ความปลอดภัยของการไหลเข้าเริ่มลดต่ำลง
แม้ว่าความรู้สึกไหวหวั่นของนักลงทุนในประเทศที่มีประสบการณ์สูงและผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานในตลาดหุ้นไทยหลายระลอก จะมีอยู่ตลอดเวลา และหลายคนก็ระวังระไวมากเป็นพิเศษต่อสถานการณ์ที่อาจจะพลิกผันได้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่า จังหวะทองที่ต่างชาติยังคงเข้าซื้อต่อเนื่องนี้ จำต้องฉกฉวยเอาไว้ก่อนเพื่อตักตวงให้เต็มที่
โดยข้อเท็จจริง กองทุนเก็งกำไรต่างชาตินั้น ไม่ได้โง่เง่าเต่าตุ่น หรือไร้เดียงสาต่อตลาดหุ้นไทย พวกเขามีประสบการณ์สูงในหลายตลาดมาโชกโชน และปัจจุบัน ยังมีโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปในการเก็งกำไรทั้งระยะสั้นและระยะกลางอย่างช่ำชอง แถมยังมีเงินทุนหน้าตักสูงมากกว่ากองทุนในประเทศหรือนักลงทุนทุกชนิดในประเทศ ดังนั้นจึงมีการเข้าซื้อหรือออกจากตลาด ที่มีการวางแผนมาอย่างรอบคอบ
หลายสัปดาห์นี้ สุ้มเสียงของนักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักพากันป่าวประกาศด้วยความเชื่อมั่นว่า ฟันด์โฟลว์จะดันให้ดัชนีทะลุไปเหนือ 1,550 จุดได้ บางรายไปไกลถึงขึ้นมองไปที่ปลายปีที่ระดับ 1,600 จุดกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการคาดเดาที่เข้าข่าย “ยังไม่ทันเห็นแม่น้ำ รีบตัดกระบอกไม้ไผ่รอ”
บังเอิญว่า การคาดเดาไม่ผิด น้ำหนักความเชื่อมั่นก็เลยค่อนข้างสูงว่าฟันด์โฟลว์จะยังเข้ามาต่อเนื่อง
บางคนถึงกับเลยเถิดไปว่าจะไหลเข้ามาตลอดจนถึงสิ้นปีนี้เลยทีเดียว โดยไม่หวาดหวั่นกับคำว่า “พาคนไปตาย”
สุ้มเสียงดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนเมื่อสายวานนี้ หลังจากที่ทำท่าว่าดัชนีที่จะทะลวงผ่าแนวต้านไปเหนือ 1,550 จุด ไม่สามารถยืนอยู่ได้เพราะมีแรงขายเหนือจุดต้านดังกล่าวค่อนข้างแรง ดังนั้น ทำให้มุมมองของนักวิเคราะห์เริ่มแปร่งออกมา เสียงกระซิบให้ขายหุ้นธนาคารเพื่อระบายพอร์ตออกบางส่วนเริ่มส่งสัญญาณออกมา เพราะต่างชาติที่เข้าซื้อและถือหุ้นกลุ่มนี้เป็นหลัก มีโอกาสที่จะเทขายก่อนแรงที่สุด
เพียงแต่ในภาคบ่ายเมื่อแรงซื้อของต่างชาติยังคงดันให้ดัชนีพยายามก้าวข้ามแนวต้านอีกครั้ง แต่เมื่อท้ายสุดก็ยอม “มอบตัว” ไม่สามารถฝ่าแรงขายขึ้นไปได้ น้ำเสียงของนักวิเคราะห์จึงเริ่มจริงจังขึ้นเมื่อปิดตลาดว่า น่าจะถึงเวลาถือเงินสดกันมากขึ้นแล้ว
คำอธิบายที่ดูมีเหตุผลก็คือ ดัชนีตลาดเข้าเขตซื้อมากเกินไปแล้ว แม้อาจจะยังขึ้นไปได้อีก แต่ก็มีขีดจำกัดขาขึ้นมาก และการที่ดัชนีทั้งปัจจุบันและล่วงหน้าเริ่มแกว่ง หลังจากขึ้นมาแรงต่อเนื่องหลายวัน ทำให้โอกาสพักฐานเป็นไปได้มากขึ้น หรืออาจจะรุนแรงถึงขั้นปรับฐานไปเลย เพราะตลาดเริ่มขาดปัจจัยขับเคลื่อนขาขึ้นใหม่ๆ เนื่องจากทุกอย่างที่เป็นปัจจัยบวกสะท้อนการรับรู้ไปในราคาหุ้นหมดแล้ว ในยามที่เทศกาลประกาศงบการเงินไตรมาสสองหรือกลางปี เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว
นักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มประเมินว่า นับจากเมื่อวานบ่าย เม็ดเงินฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้ามาก่อนหน้าประมาณ เดือนเศษ จะเริ่มขายทำกำไร ในขณะที่เม็ดเงินระลอกใหม่ที่จะเข้ามาเข้าเพิ่มเพื่อขับเคลื่อนต่อไป น่าจะเข้ามาหลังจากที่ราคาหุ้นและดัชนีย่อตัวลงไปในระดับที่ค่าพี/อีต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 23.54 เท่า เทียบกับ พี/อี อนาคตเมื่อสิ้นปีนี้ที่ระดับ 16-17 เท่า ก็น่าจะได้เวลาปรับหรือพักฐานกันได้แล้ว
การเปลี่ยนสุ้มเสียงจากบวกเป็นลบ แม้จะยังไม่เป็นเอกภาพกันดี แต่ก็ถือเป็นสัญญาณเบื้องต้น ที่แม้จะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่ก็ยังเป็นคำเตือนภัยที่ดีกว่าการปล่อยให้หลงระเริงเป็นแมงเม่าในตลาดในภายหน้า
โดยข้อเท็จจริง นักลงทุนระดับกองทุนข้ามชาติ มองเห็นตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะชาติที่มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ และระบบธนาคารแข็งแกร่ง กลายเป็นแหล่งพักพิงหรือหลบภัยชั่วคราวที่วางใจได้ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ปลอดภัยมากกว่า
การทะยานขึ้นของตลาดหุ้นในเอเชียจากกระแสฟันด์โฟลว์ไหลกลับในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา ทั้งที่ไม่ได้มีข่าวดีมากในตลาดเอเชีย ไม่ได้เป็นเพราะกองทุนเก็งกำไรต่างชาติชื่นชอบหรือมองเห็นโอกาสในการแสวงหาประโยชน์จากการเก็งกำไร แต่เป็นเพราะ “ส่วนต่างของความปลอดภัย” (margin of safety) มากกว่าเมื่อเทียบกับมุมมองทางลบต่อสถานการณ์ในยุโรปในทางลบต่อไป เพราะผลกระทบของการลงประชามติถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ จะใช้เวลานานกว่าที่ประเมินไว้ เนื่องจากยังไม่มีการวางแผนการใดๆ ที่เป็นรูปธรรม
เพียงแต่หลังจากวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งเป็นตัวเลขการจ้างงานส่วนใหญ่ของตลาดแรงงานสหรัฐฯที่ดีเกินคาด สมทบเข้ากับตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ระบุตรงกันว่า ล้วนเป็นปัจจัยบังคับให้สายเหยี่ยวในเฟดฯสามารถครอบงำการตัดสินใจต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกของปีนี้ได้เสียที หลังจากที่รีรอมายาวนาน นับแต่การขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปีในเดือนธันวาคม ปีก่อน
คำว่า “เงินมาเที่ยว เดี๋ยวเดียวก็จากไป” กำลังจะเกิดขึ้น หากสุ้มเสียงของนักวิเคราะห์ในระยะต่อไปหนักแน่นเป็นเอกภาพมากกว่าปัจจุบัน