พาราสาวะถี อรชุน
ชวนให้ขีดเส้นใต้วลีทองกรณีเหตุระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ “เป็นการท้าทายผม” และ “ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนัยความหมายทางการเมืองของผู้มีอำนาจในเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง เท่ากับว่า สิ่งที่เป็นบทสรุปหลังเหตุการณ์โยนบาปไปให้ผู้เสียประโยชน์จากประชามติและกลุ่มคนเสื้อแดง น่าจะเป็นสมมติฐานที่ผิด
ชวนให้ขีดเส้นใต้วลีทองกรณีเหตุระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ “เป็นการท้าทายผม” และ “ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนัยความหมายทางการเมืองของผู้มีอำนาจในเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง เท่ากับว่า สิ่งที่เป็นบทสรุปหลังเหตุการณ์โยนบาปไปให้ผู้เสียประโยชน์จากประชามติและกลุ่มคนเสื้อแดง น่าจะเป็นสมมติฐานที่ผิด
ยิ่งล่าสุด พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ขออนุญาตศาลออกหมายจับบุคคลต้องสงสัยในการก่อเหตุวางระเบิดที่หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต เป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่ปี 2547 เนื่องจากดีเอ็นเอตรงกัน
นี่เท่ากับเป็นการยืนยันข้อสังเกตของผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยก่อนหน้านี้ โดยสงสัยว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็น แน่นอนว่า การปฏิเสธทันทีว่าไม่ใช่ฝีมือของขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ แล้วพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ ถือเป็นอาการลนลาน กลัวเสียหน้า และสะท้อนภาพความมักง่ายในการทำงาน
การยอมรับของ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า หน่วยข่าวผิดพลาดที่ปล่อยให้เกิดเหตุระเบิดและจะต้องยกเครื่องปรับปรุงกันขนาดใหญ่ เป็นภาพสะท้อนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การระบุว่ากำลังประสานกับเพื่อนบ้านเพื่อตรวจสอบโทรศัพท์และซิมการ์ดของกลุ่มป่วนดังกล่าว เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆ ว่าเหตุครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องสีเสื้อหรือผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง หากแต่เป็นเรื่องของขบวนการก่อเหตุรุนแรงชายแดนใต้นั่นเอง
คงไม่มีใครที่จะโทษเจ้าหน้าที่ว่าทำงานกันผิดพลาด เพราะเมื่อหัวส่ายไปในทิศทางอย่างนั้น หางก็ต้องส่ายรับเป็นธรรมดา ความจริงแล้ว หากไม่ใจร้อนรีบด่วนสรุป ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำงานกันสักนิด ภาพจะออกมาสวยงามมากกว่านี้ ยิ่งมีภาพของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ พุทธะอิสระ มาโพนทะนากล่าวหาคนอื่นเป็นวรรคเป็นเวร ยิ่งทำให้ภาพความเชื่อถือเชื่อมั่นของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อท่านผู้นำเรื่องความเป็นกลางหดหายไปในทันที
นี่คือความจริงที่ว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา หากมีความปรารถนาดี เสียสละเพื่อคนส่วนรวมจริง จะต้องนิ่ง แน่วแน่และแสดงวุฒิภาวะความเป็นกลางให้มันเด่นชัดมากกว่านี้ เมื่อปรากฏภาพของความเป็นกลางกระเท่เร่เสียแล้ว แนวทางต่างๆ ที่โยนหินถามทางหรือจะใช้การบังคับด้วยกฎหมายที่เขียนขึ้นเองทั้งหมด ย่อมไร้ความหมายไปในทันทีทันใดเช่นเดียวกัน
การกระทำครั้งนี้ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพของการเลือกปฏิบัติที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ข้อเขียนเชิงประชดประชันของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. ที่เขียนจดหมายถึงโปเกมอน เทียบเคียงผู้ยิ่งใหญ่ประเทศนี้มองคนเห็นต่างเป็นโปเกมอน จึงเต็มไปด้วยความอเนจอนาถต่อท่วงทำนองของผู้ที่อ้างว่าเป็นกรรมการแต่ไร้ความเป็นกลาง
บางช่วงบางตอนของจดหมายดังว่าที่ต้องขีดเส้นใต้คือ ให้ตายเถอะ เราอิจฉาที่มีหน่วยงานมากมายออกประกาศห้ามจับนายที่นั่นที่นี่ เพราะในประเทศนี้มีคนกลุ่มหนึ่งถูกไล่จับไปทุกแห่งหน ทั้งบนถนน ในห้าง กลางตลาด ไม่มีหน่วยงานไหนออกประกาศปกป้องพวกเขา ไม่มีแม้แต่การตั้งคำถามว่าพวกเขาทำผิดอะไร นาย (โปเกม่อน) มีคนประกาศเขตอภัยทาน ห้ามจับ แต่พวกเขาเคยถูกยิง แม้อยู่ในเขตอภัยทาน พวกเขาไม่ใช่การ์ตูนในเกม แต่เป็นมนุษย์ที่คิดต่างจากพวกที่ไล่จับ
ความจริงอีกประการก็คือ ณ วันนี้ ไผ่ ดาวดินยังอยู่ในกรง เชียงใหม่ยังอยู่ในห้องขัง ลำพูนถูกออกหมายจับ นายโปเกม่อนเจอพวกเขาบ้างไหม ถ้านายเจอ ช่วยบอกเขาทีว่าระหว่างนายที่มีคนห่วงใยห้ามจับสารพัดที่ กับพวกเขาซึ่งถูกจับมาจากหลายที่ ใครเป็นมนุษย์ ใครเป็นโปเกมอน บางทีเราก็สงสัยหรือว่า ผู้ยิ่งใหญ่เห็นพวกเขาเป็นโปเกมอน
ก่อนที่ณัฐวุฒิจะขมวดปมว่า อย่าเพิ่งชะล่าใจ อยู่ที่นี่นายอย่านึกว่าจะเคลื่อนไหวหรือทำอะไรได้เหมือนอยู่ที่อื่น เพราะผู้มีอำนาจจะบอกว่านายเป็นภัยของความมั่นคง นายโดนเข้าแล้วนี่ ทีนี้ล่ะจะได้รู้ เพราะมีคนเคยโดนมาก่อนแล้ว กินแซนด์วิชอ่านหนังสือ เดินคนเดียว แม้แต่ยืนเฉยๆ ก็เป็นภัยความมั่นคง นายคิดถูกแล้วที่มาที่นี่ จะได้เอาเรื่องราวเหล่านี้ไปเล่าให้คนรู้บ้าง
หลายฝ่ายบอกว่ากระแสไล่จับนาย เดี๋ยวก็ซาและจะหายไปเอง แต่ไม่มีใครบอกเราเลยว่า การไล่จับคนเห็นต่างเมื่อไหร่จะหมดไป ประโยคทิ้งท้ายของเลขาฯ นปช. ช่างน่าขมขื่นยิ่งนัก เคยได้ยินว่านายไปป้วนเปี้ยนแถวทำเนียบ บอกคนในนั้นให้เราหน่อยได้ไหมว่า ประชาชนไม่ใช่โปเกมอน นี่คือความจริงอันเจ็บปวด
จากกรณีระเบิด 7 จังหวัดใต้ที่ถูกลากให้เป็นประเด็นทางการเมือง มีความจริงที่เจ็บปวดอีกประการคือ การจับคนที่อาจเป็นแพะคนแรกที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้วางเพลิงเผาห้างสรรพสินค้าดังที่นครศรีธรรมราช ก็มีเสียงยอมรับแบบอ่อยๆ มาจากพลตำรวจเอกศรีวราห์ว่า อาจจะมีการให้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน หลังจากที่หมดอำนาจในการควบคุมตัว 7 วันของทหารตามมาตรา 44 แล้ว
เหตุที่บอกว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้อาจจะเป็นแพะ เนื่องจากผลการรวบรวมข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะเชื่อมโยงได้ว่า ศักรินทร์ คฤหัสถ์ จะเป็นผู้ลงมือ มีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้หนุ่มรายนี้โชคร้ายและอยู่ในข่ายต้องสงสัยคือเป็นคนอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเดียวกับสองอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากทำงานกันอย่างนี้บอกได้คำเดียวว่า ประเทศนี้อยู่กันยากแล้ว
กลายเป็นว่าแทนที่จะให้โอกาสเจ้าหน้าที่ทำงานและสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง กลับมีการชี้นำจนกลายเป็นความกดดันในการทำงาน แทนที่จะเป็นการสรุปหาเหตุให้ชัดว่าสิ่งที่เกิดเป็นการก่อการร้ายหรือวินาศกรรม เป็นฝีมือของโจรใต้หรือผู้ร้ายที่รับใช้การเมือง แต่ผู้มีอำนาจกลับเลือกที่จะเล่นงานกลุ่มการเมืองและกลุ่มอำนาจเก่า นั่นเท่ากับว่า แทนที่จะพากันดับไฟกลับเป็นการโยนฟืนเข้ากองไฟแห่งความขัดแย้งไปเสียฉิบ