บจ.กำไร 2.37 แสนล.ลูบคมตลาดทุน
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) หรือ บจ. แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 2/59 ออกมากันหมดแล้ว
ธนะชัย ณ นคร
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) หรือ บจ. แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 2/59 ออกมากันหมดแล้ว
ตัวเลขกำไรสุทธิรวมคร่าวๆ อยู่ประมาณ 2.37 แสนล้านบาทครับ
หากเทียบกับไตรมาส 2/58 บจ.มีกำไรสุทธิรวมกันกว่า 2.13 แสนล้านบาท เท่ากับว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 เติบโตประมาณ 12.00%
ย้อนกลับไปดูกำไรในไตรมาส 1/59 กันสักหน่อย
ในไตรมาสแรกปีนี้ บจ.มีกำไรสุทธิรวมกันกว่า 2.34 แสนล้านบาท
หากนำกำไรในงวดไตรมาส 1 และ 2 มารวมกัน ก็จะพบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) บจ.มีกำไรสุทธิแล้วกว่า 4.71 แสนล้านบาท
และหากเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2558 ที่ บจ.มีกำไรสุทธิ 4.40 แสนล้านบาท
ดังนั้น กำไรของ บจ.ครึ่งแรกของปี 2559 ก็จะเติบโตอยู่ที่ 7%
การเติบโตของกำไรสุทธิของ บจ. ในช่วงไตรมาส 2 ถือว่าออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ครับ
และนั่นมีส่วนช่วยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาค่อนข้างแรงในช่วง 1 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา
ส่วน บจ.ที่มีกำไรมากสุด (ไตรมาส 2/59) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ก็คือ บมจ.ปตท. หรือ PTT ที่มีกำไรสุทธิ 2.49 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับงวดไตรมาส 1 ปตท.มีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 4.85 หมื่นล้านบาท
ปตท.กลับมาทวงแชมป์กำไรสุทธิอีกครั้งแล้ว
ส่วนอันดับ 2 ที่มีกำไรสุทธิมากสุดคือ SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
SCC มีกำไรสุทธิ 1.60 หมื่นล้านบาท
ส่วน 6 เดือนแรกกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.95 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง 18.30%
กำไรของ SCC ที่ออกมานั้น ก็มากกว่าที่นักวิเคราะห์ได้มีการคาดการณ์เอาไว้เช่นกัน
หลายโบรกฯ เริ่มดีดลูกคิด คำนวณกำไรสุทธิของ SCC ใหม่ พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 เพิ่มขึ้นไปอีก
รายได้หลักของ SCC มาจากธุรกิจปิโตรเคมี
ขณะที่ธุรกิจประเภทนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง ถูกมองว่า แนวโน้มยังเติบโตได้ดีอยู่ และจะเช้ามาช่วยหนุนกำไรของผู้ประกอบการปิโตรเคมีอย่างมีนัยสำคัญ
วานนี้ราคาหุ้น SCC ปิดที่ 518 บาท
และราคาเป้าหมายของโบรกฯ ที่ให้ไว้นั้น ส่วนใหญ่ อยู่ที่ระดับ 600 บาท
มาดูกำไรของอันดับ 3 กันบ้าง
นั่นก็คือ SCB หรือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เคยแย่งแชมป์กำไรมาจาก ปตท. ในช่วง ราคาน้ำมันตกต่ำ
SCB มีกำไรสุทธิ 1.28 หมื่นล้านบาท ครับ
แต่หากนำไปเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 1.32 หมื่นล้านบาท ก็จะลดลง 3% แค่นั้นเอง
SCB นั้น มาสะดุดไปในช่วงที่ต้องตำสำรองหนี้ฯ ของ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ทั้งที่อังกฤษ และประเทศไทยในช่วงปี 2558 และมีผลต่อเนื่องมาเล็กน้อยในช่วงต้นปี 2559
นั่นเพราะต้องตั้งสำรองเพิ่ม เพื่อดึง Coverage Ratio ขึ้นมา
และตอนนี้ก็มาอยู่ที่ระดับ 130% เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารแล้ว
แนวโน้มของ SCB ถูกมองว่า ไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้น่าจะมีกำไรที่สวยงามนะ
ด้านสินเชื่อก็อยู่ในทิศทางที่ดี น่าจะปล่อยรายใหญ่ๆ ได้อีกหลายราย โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐยังเดินหน้าอยู่
กำไรของ บจ.ที่มากเป็นอันดับ 4 คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC
กำไรอยู่ที่ 9.59 พันล้านบาท
ลดลงเล็กน้อยครับ หากเทียบกับงวดไตรมาส 2 ของปีก่อนหน้านี้ที่มีกำไรสุทธิ 9.84 พันล้านบาท
และอันดับ 5 ของ KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย ที่มีกำไรสุทธิ 9.42 พันล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2/58 ที่มีกำไรสุทธิ 1.14 หมื่นล้านบาท เปลี่ยนแปลง -17.36%
หากนำกำไรสุทธิของ บจ.ทั้ง 5 แห่งดังกล่าวมารวมกัน จะได้ตัวเลขประมาณ 7.28 หมื่นล้านบาท
หรือคิดเป็น 30% ของกำไรสุทธิของ บจ.ในงวดไตรมาส 2/59 ที่มีจำนวน 2.37 แสนล้านบาท
มีคำถามต่อว่า แล้วแนวโน้ม บจ.ไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้เป็นอย่างไร
หากดูจากบทวิเคราะห์ของโบรกฯ หลายแห่ง ต่างก็มองตรงกันว่า ผลประกอบการของหลายบริษัทจะเติบโตดีขึ้น
ยิ่งหากราคาน้ำมันดิบ แม้จะไม่ได้ปรับขึ้นมามาก แต่ยังทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน ก็น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ หรือคิดเป็นกว่า 30% ของ บจ.ในตลาดหุ้นไทย
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก็มองคาดการณ์ว่า จะดีขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ หรือบ้านจัดสรร
กลุ่มธนาคารก็จะดีขึ้นเช่นกันครับ
กลุ่มโรงพยาบาล จะเข้าสู่ช่วงของไฮซีซั่น ก็น่าจะกวาดเงินเข้ากระเป๋ากันสนุกสนานกันต่อไปอีก
กลุ่มรับเหมา วัสดุก่อสร้าง มาแรง แบบเรื่อยๆ ไปตามการประมูลในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ
หากช่วงไหนมีเคาะประมูล ก็ใส่หุ้นรับเหมากันไฟแลบ
กลุ่มท่องเที่ยว ยังต้องลุ้นจากเหตุการณ์ระเบิด ว่าจะกระทบแค่ไหน แต่ในเบื้องต้น ข้อมูลระบุว่า จะกระทบแค่ช่วงสั้นๆ หากนักท่องเที่ยวไม่ได้ตื่นตูมอะไรกันมากมาย
มองโลกให้สวยใว้ครับ