หมอฟัน เจอ หมอเขี้ยว แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
การขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งล่าสุดให้กับนักลงทุนกลุ่ม"ขาใหญ่" ในหุ้นบริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC จำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ให้แก่นักลงทุนภายใต้เงื่อนไขขายแบบเฉพาะเจาะจง หรือพีพี ไม่เกิน 50 ราย ในราคาเสนอขายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดของหุ้นสามัญบริษัท ในราคาซื้อขายจริงหุ้นละ 1.56 บาท ไม่เพียงแต่ทำให้คนแปลกใจกับราคาหุ้นที่ขายได้พอสมควร แต่ยังแปลกใจกับชื่อของกลุ่มคนที่เข้าซื้อ
การขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งล่าสุดให้กับนักลงทุนกลุ่ม“ขาใหญ่” ในหุ้นบริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC จำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ให้แก่นักลงทุนภายใต้เงื่อนไขขายแบบเฉพาะเจาะจง หรือพีพี ไม่เกิน 50 ราย ในราคาเสนอขายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดของหุ้นสามัญบริษัท ในราคาซื้อขายจริงหุ้นละ 1.56 บาท ไม่เพียงแต่ทำให้คนแปลกใจกับราคาหุ้นที่ขายได้พอสมควร แต่ยังแปลกใจกับชื่อของกลุ่มคนที่เข้าซื้อ
ราคาหุ้นที่ขายถือว่าใกล้เคียงกับราคาตลาด และหลังจากข่าวออกไปแล้ว ราคาตลาดก็วิ่งขึ้นไปเกือบจะ 2.00 บาท ก่อนที่จะวิ่งมาปิดเหนือ 1.80 บาทเล็กน้อย ทำให้กลุ่มคนซื้อแบบพีพี ยิ้มไปทั่วกัน เพราะเงื่อนไขการซื้อขายที่ไม่ได้ระบุว่ามีไซเลนต์พีเรียด ทำให้ตอนนี้ ขายเท่าไรก็กำไรแล้วทันที
คนที่ยิ้มโดยไม่เกี่ยวกับราคาหุ้นอีกคนคือ“หมอหนึ่ง” ท.พ.วัฒนา ชัยวัฒน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และคนกุมบังเหียนทิศทางหรือโมเดลธุรกิจของ LDC มาตั้งแต่ต้นนั่นเอง เพราะทำให้แรงกดดันเรื่องทุนดำเนินงานของ LDC ที่ยังคงมีตัวเลขผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องไปอีกจนกว่าจะถึงปีหน้า
งบการเงินไตรมาส 2 ที่ผ่านมาของ LDC ขาดทุนมากกว่าทุกๆ ไตรมาสที่ผ่านมา เพราะรายได้จากการขยายสาขาใหม่ ที่สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีมากกว่า 30 สาขา ยังไล่ไม่ทันรายจ่ายในการลงทุนเปิดสาขาใหม่ ที่บานปลาย และยังไม่รับรู้รายได้มากเพียงพอ หรือเต็มศักยภาพ
ตามโมเดลธุรกิจของ LDC ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจทำฟันที่สร้างแบรนด์โดยไม่ต้องมีชื่อหมอฟันคนใดคนหนึ่งชูโรง ซึ่งเป็นโมเดลโบราณคร่ำครึ ที่มีลักษณะ“หนึ่งเดียว” แบบของผู้บริหาร ต้องการให้มีสาขาเครือข่ายมากถึง 40 สาขาถึงจะเข้าเขตคุ้มทุน ตามหลักการ “ประหยัดโดยขนาด” หรือ economy of scale
ดังนั้นกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน การขาดทุนก็เข้าใจได้ โดยหมอหนึ่งก็ยอมรับเสมอ และก้มหน้าก้มตาขยายสาขาไปเรื่อยๆอย่างมุ่งมั่น แม้ว่าที่ผ่านมาอัตราการเข้าใช้บริการของสาขาเฉลี่ยยังต่ำอยู่เพียง 35% ส่งผลให้มีผลขาดทุน
ความมุ่งมั่นนี้ เป็นไป ตามสไตล์ที่คุณหมอฟันอารมณ์ดี ที่ชอบกระซิบบอกคนสนิทเป็นส่วนตัวว่า ถนัดกับ “เล่นสั้น หมั่นซอย”
บังเอิญนักลงทุนรายย่อยพวกใจร้อน และเงินร้อน ไม่ใส่ใจกับโมเดลธุรกิจ แต่สนใจงบกำไรขาดทุนมากกว่า ราคาหุ้น LDC ที่เคยสร้างตำนาน “แฮตทริก” ชนเพดาน 3 วันรวดในกลางปี 2557 เมื่อเข้าเทรดครั้งแรกในตลาดหุ้น ก็เลยโรยตัวลงมาใกล้เคียงระดับราคาจองครั้งแรก 1.50 บาท ทำท่าจะหลุดมิหลุดแหล่ก่อนจะมีข่าว ขายหุ้นแบบพีพีล่าสุด
การที่ราคาหุ้น LDC ร่วงแบบไซด์เวย์ก็มีคำอธิบายที่เข้าใจได้อีกว่า การเพิ่มทุน 50% ตามมติคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เพิ่มทุนจากเดิม 400 ล้านหุ้น อีก 200 ล้านหุ้น รวมเป็น 600 ล้านหุ้น โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น RO ในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.00 บาท ทำให้ราคาหุ้นถูกถ่วงลงมามากพอสมควร ดังนั้นการเพิ่มทุนแบบพีพี หากได้ราคาไม่ดีอีก ก็คงทำให้ราคาถอยลงอีก
บังเอิญไม่ใช่เช่นนั้น….โลกไม่ได้มีคำตอบเป็นบัญญัติไตรยางค์เสมอไป ยังมีคำตอบแบบอื่นอีกมาก
ด้วยฝีมือของที่ปรึกษาการเงินตัวเอ้ ที่ดูแลเลี้ยงต้อยกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ไปรวบรวม “ขาใหญ่” ที่พร้อมจ่ายเงินสด มาเป็นค่าหุ้น ให้หมอหนึ่งกล่อมอยู่พักใหญ่
ขาใหญ่ที่ว่า มีบรรดาก๊วนหุ้นที่มีหมอเป็นแกนหลัก และมีขาประจำกลุ่มอีกหลายคนร่วมขบวน….ดีลจึงฉลุย เปิดชื่อออกมา ซี้ดซ้าดดดดดด กันทั่วหน้า
เริ่มแต่หมอวิน นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา ดาวรุ่งพุ่งแรงวงการหุ้นที่เล่นหุ้นไปผ่าตัดไป (แถมภรรยาสวยอีกเป็นโบนัส) ซื้อไปจำนวน 10 ล้านหุ้น
ตามมาด้วยหมอชื่อดังทั้งนั้น นายนัทธ์ เอื้ออารีมิตร (กลุ่มเอกชัยการแพทย์ EKH) จำนวน 10 ล้านหุ้น นพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม (หมอยง) จำนวน 5 ล้านหุ้น รศ.นพ.จตุพร โชติกวณิชย์ จำนวน 5 ล้านหุ้น ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ จำนวน 2 ล้านหุ้น และ นพ.บุญรัตน์ เอื้อสุดกิจ จำนวน 2 ล้านหุ้น
ใครที่บอกว่า หมอคือกลุ่มอาชีพที่บริจาคเงินให้กับตลาดหุ้นมากที่สุด เห็นรายชื่อ “หมอพอร์ต 100 ล้าน” ที่กล่าวมานี้….. รีบถอนคำพูดด่วนเลยทันที ก่อนหน้าแตกยับเยิน
ส่วนที่เหลือที่ตามสมทบก๊วนหมอทั้งหลาย ก็มีชื่อคนอย่าง นางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ (มาดามฉลาม) แห่ง BKD จำนวน 5 ล้านหุ้น นายภมร พลเทพ จำนวน 6 ล้านหุ้น และ นางสาวเพ็ญประภา บูลภักดิ์ จำนวน 5 ล้านหุ้น
แปลกอย่างเดียวที่ งานนี้ หมอวิน ควงคู่หมอและขาใหญ่คนอื่นๆ มาซื้อหุ้น LDC แต่ไม่ปรากฏคู่หู “แฝดมหาภัย” อย่าง “มาม่าบลูส์” หรือ นางสีฟ้า แจ่มวุฒิชาญเข้ามามีเอี่ยวด้วย… รึว่าเข้าผ่านนอมินี….ก็ไม่รู้
ดีลจบลงไปแล้ว ราคาหุ้นวิ่งแรงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยที่หมอหนึ่งยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับบรรดา “หมอๆ” ทั้งหลายที่ซื้อหุ้นพีพีคราวนี้ เพราะไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร หมอหนึ่งที่บริหาร LDC ยังเดินตามโรดแม็ปไม่เปลี่ยนแปลง คือเดินหน้าขยายสาขาไปเรื่อย แม้ว่าจะไม่เร็วนัก แต่คาดว่า ในปี 59 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 60% จากปีก่อนที่ 318 ล้านบาท และจะขึ้นไปแตะระดับ 1 พันล้านบาทในปี 60 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นตามการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเกิดปรากฏการณ์หมอๆ ทั้งหลาย….ที่วงการหุ้นตั้งฉายาว่า“หมอจอมเขี้ยว (ลากดิน)” เข้ามาถือหุ้น“หมอฟัน” คำถามคือ ใครจะอยู่ใครจะไป และใครจะเหนือใคร
เอาคำถามนี้ไปยัดปากถาม หมอหนึ่ง…ขอย้ำว่า ไม่มีทางได้คำตอบตรงๆ แต่จะได้คำตอบอีกแบบ
“พยาบาล (ทั้งหลาย) กลัวหมอฟัน”
คิดเดาล่วงหน้าเอาเองก็แล้วกันว่า หมอไหนจะฟัน ….หมอไหนจะฟิน
“อิ อิ อิ”