พาราสาวะถี อรชุน

ในห้วงของความขัดแย้งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อจะโค่นล้มระบอบทักษิณตามความต้องการ ฝ่ายตรงข้ามทั้งอดีตผู้นำประเทศ นักวิชาการและชนชั้นนำทั้งหลาย ขนาดประกาศจุดยืนที่เป็นการลดทอนคุณค่าของคำประชาธิปไตยด้วยวลีทองที่ว่า“ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง” ซึ่งปรากฏว่ามาจนถึงวันนี้ มีคนที่คิดไปในแนวทางนี้เริ่มจะมองเห็นความเป็นจริงที่ขัดแย้งต่อคำประกาศดังกล่าว


ในห้วงของความขัดแย้งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อจะโค่นล้มระบอบทักษิณตามความต้องการ ฝ่ายตรงข้ามทั้งอดีตผู้นำประเทศ นักวิชาการและชนชั้นนำทั้งหลาย ขนาดประกาศจุดยืนที่เป็นการลดทอนคุณค่าของคำประชาธิปไตยด้วยวลีทองที่ว่า“ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง” ซึ่งปรากฏว่ามาจนถึงวันนี้ มีคนที่คิดไปในแนวทางนี้เริ่มจะมองเห็นความเป็นจริงที่ขัดแย้งต่อคำประกาศดังกล่าว

คนคนนั้นก็คือ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เอ็นจีโอผู้ที่คร่ำหวอดในการช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย ในนามของกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา ได้มองเห็นความจริงที่ว่า ทำไมเอ็นจีโอและขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนหรือในส่วนที่เกี่ยวข้องกัน  เช่น  องค์กรด้านสิทธิชุมชน  สิทธิมนุษยชน  พวกจับตานโยบาย โครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้าข้างรัฐและทุนที่ลดทอน ปิดกั้น คุกคาม สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถึงอยู่ด้านตรงข้ามกับประชาธิปไตยด้วยการสนับสนุนการรัฐประหาร

ในการคิดทบทวนเพื่อหาคำตอบต่อคำถามนี้  เรื่องหนึ่งที่ค้นพบก็คือคำที่ว่า ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน หรือคำอะไรอื่นทำนองนี้ เช่น ประชาชนต้องกำหนดอนาคตตนเอง  การพัฒนาต้องมาจากประชาชน มันช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกินกับคำที่ว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง  ที่เอ็นจีโอ ปัญญาชนสาธารณะ ชนชั้นกลางหรือใครก็ตามชอบใช้แก้ตัวหรือตัดบทการสนทนาเมื่อถูกกล่าวหาหรือพาดพิงว่ามีส่วนร่วมทั้งโดยตรงและทางอ้อมในการสนับสนุนรัฐประหารในสองครั้งล่าสุดที่ผ่านมา

ประวัติศาสตร์ระยะใกล้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาต้องจารึกว่า ทั้งในระดับบุคคลและองค์กรพัฒนาเอกชนส่วนใหญ่ได้มีส่วนผลักดันขับเคลื่อนบ้านเมืองและสังคมเพื่อตอบคำถามว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง ได้กลายเป็นพวกที่สนับสนุนการรัฐประหาร มันจึงทำให้ความหมายของคำว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง ที่เคยมีความหมายหรือบริบทกว้างขวาง สะท้อนถึงความก้าวหน้าของขบวนประชาชนในทุกๆ ด้าน หดแคบลงเหลือเพียงแค่ว่ารัฐประหารคือความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของวลีดังว่า

แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เลิศศักดิ์ค้นพบกลับเป็นว่า ชาวบ้านมีความก้าวหน้ากว่าพวกถือตัวว่าเป็นคนดีกว่าทุกคนในประเทศนี้มาก พวกที่บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายก้าวหน้ากลับล้าหลังคลั่งชาติ ความก้าวหน้าของชาวบ้านคือพวกเขาจับตาสอดส่องและถ่วงดุลอำนาจประชาธิปไตยด้วยการกระทำการเอง โดยเข้าไปอยู่หรือเข้าไปใช้พื้นที่ของประชาธิปไตยเลือกตั้งด้วยตนเอง

รวมทั้งสร้างและไม่ทิ้งประชาธิปไตยมวลชน  ทำให้มันเข้มแข็งต่อไปที่จะคานอำนาจประชาธิปไตยเลือกตั้งให้ได้ หลักที่ชาวบ้านยึดและปฏิบัติ มันแปลความหมายให้เห็นความงดงามและคุณค่าที่ทรงพลังอย่างมากนั่นก็คือ พวกเขาพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะแปรพลังจากสองมือสองเท้าของพวกเขาให้เป็นเสียงที่มีคุณค่าให้ได้

เพราะฉะนั้น หลักการหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงมันสำคัญมากในจุดนี้ เพราะมันแปรเสียงออกมาจากสองมือสองเท้าของประชาชน มันเป็นเสียงที่ออกมาจากประชาธิปไตยมวลชนที่อยู่นอกสภา เพื่อใช้ทำหน้าที่พัฒนาประชาธิปไตยอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ในสภา มันเป็นหลักการที่เป็นสันติวิธีมากที่สุดแล้ว มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะขับเคลื่อนสังคมด้วยสันติวิธีที่สุด นอกนั้นก็จะมีแต่เสียเลือดเนื้อ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นักกิจกรรมทางสังคม ปัญญาชนสาธารณะที่ทำงานเพื่อลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน  จริงๆ แล้วมีความคิดก้าวหน้า แต่การยอมถอยความคิดและจุดยืนของตัวเอง ยอมเป็นพวกเดียวกันหรือขอเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการเมืองที่ล้าหลังคลั่งชาติ เพื่อจะได้สนับสนุนรัฐประหารได้อย่างแนบสนิทใจก็เพื่อเป้าหมายอะไรบางอย่าง

หากแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมาก เพราะรัฐประหารมันได้ทำลายคุณค่าและความหมายประชาธิปไตยเสียหมดสิ้น ที่สำคัญสิ่งที่เราได้กลับมาคือความตกต่ำสุดขีดของขบวนการประชาชนที่ก่อร่างสร้างศรัทธาในเรื่องของการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน  กล่าวคือคนดีหรือปัญญาชนสาธารณะทั้งหลายได้ทำลายประชาธิปไตยมวลชนที่เคยเป็นพลังคานอำนาจประชาธิปไตยเลือกตั้งเสียจนย่อยยับ

สิ่งบ่งชี้ที่ทำให้คิดเช่นนั้นนั่นก็คือ กฎหมายห้ามชุมนุมนั่นไง ที่ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ในรัฐบาลเผด็จการทหารคสช. แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวไม่ต้องรวมเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ แผนแม่บทป่าไม้ก็แย่พอแล้ว ถ้าชาวบ้านชุมนุมไม่ได้ก็ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ได้เลย  หรือชุมนุมได้แต่ก็ไม่สามารถกดดันใดๆ ได้เลย ไปกันเป็นร้อยคนแต่ใช้เครื่องเสียงควบคุมมวลชนไม่ได้ แค่นี้ก็จบแล้ว แทบทุกกิจกรรม ทุกการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของประชาชนสามารถถูกตีความว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายห้ามชุมนุมได้หมด

อาจจะมีผู้โต้แย้งว่ารัฐบาลประชาธิปไตยก็ชอบกฎหมายพวกนี้ ใช่! แต่รัฐบาลประชาธิปไตยไม่สามารถออกกฎหมายบังคับกดหัวคนได้รุนแรงเช่นนี้ มันสามารถมีภาวะผ่อนปรนหรือต่อรองได้มากกว่านี้ การกระทำและความคิดที่ว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง  จะมีความหมายและคุณค่าก็ต่อเมื่อบ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่ได้มาจากการเลือกตั้งนั่นแหละ

เมื่อถึงเวลาไม่ว่าองค์กรใดถึงจะมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำงานกับประชาชนเพื่อส่งเสริมคุณค่าและความหมายของวาทกรรมดังกล่าว ในการผลักดันให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง เป็นองค์กรหรือขบวนการที่สูงส่งและมีพลังมากเสียยิ่งกว่าองค์กรการเมืองที่เฝ้ารอแต่การเลือกตั้งเพื่อได้อำนาจรัฐมากดขี่ข่มเหงคนโดยทั่วไป

สรุปแล้วก็คือ วาทกรรมที่สร้างขึ้นเป็นความสามานย์รูปแบบหนึ่งที่คิดว่า ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้งที่แท้จริงไม่ใช่การไปสนับสนุนรัฐประหาร หากแต่พวกที่ยกมากล่าวอ้างจะต้องลงไปทำงานกับชาวบ้าน  เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวบ้าน จัดตั้งองค์กรชาวบ้านเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐและทุนที่มาจากการเลือกตั้งแล้วรุกรานกดขี่และเอาเปรียบ

ทุกวันนี้คนที่บอกว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง และลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน เป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน ที่ยังนั่งดูประชาชนถูกกดขี่ข่มเหงจากองค์กรหรือสถาบันรัฐประหารที่ทำให้ฝันในการล้มระบอบทักษิณเป็นจริง สุดท้ายจึงหนีไม่พ้นในการที่ใช้ประชามติเสียงของประชาชนไปสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองเพื่อสอพลอให้ผู้มีอำนาจสืบทอดอำนาจ ด้วยการแปรเจตนารมณ์ของคำถามพ่วงให้เป็นอย่างอื่นอย่างไร้ยางอาย นี่แหละคือความสามานย์ของพวกที่ได้ชื่อว่าเนติบริกร

Back to top button