เขตปลอดภัยบนพฤติกรรมไร้เหตุผล
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยเจอแรงขายตั้งแต่เปิดตลาด แม้จะมีความพยายามดันราคาหุ้นบางรายการให้ตลาดบวกเป็นบางช่วงในตอนเปิดตลาด แต่แรงขายในภาคบ่ายก็ทำให้เกิดอาการ “เอาไม่อยู่” ขึ้น ดัชนีปิดลบไป 5.26 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางจากระดับเฉลี่ยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา 51,272.65 ล้านบาท โดยที่หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 400 หลักทรัพย์ ลดลง 819 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 352 หลักทรัพย์
พลวัต 2016 : วิษณุ โชลิตกุล
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยเจอแรงขายตั้งแต่เปิดตลาด แม้จะมีความพยายามดันราคาหุ้นบางรายการให้ตลาดบวกเป็นบางช่วงในตอนเปิดตลาด แต่แรงขายในภาคบ่ายก็ทำให้เกิดอาการ “เอาไม่อยู่” ขึ้น ดัชนีปิดลบไป 5.26 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางจากระดับเฉลี่ยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา 51,272.65 ล้านบาท โดยที่หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 400 หลักทรัพย์ ลดลง 819 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 352 หลักทรัพย์
นักวิเคราะห์อธิบายว่า การร่วงลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นเพราะ 1) แรงกังวลว่าเฟดฯจะขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ค่าบาทอ่อนลงเทียบกับดอลลาร์ 2) การประเมินค่าของหุ้นขนาดใหญ่ของไทยโดยเฉพาะ กลุ่มหุ้นสื่อสาร-รับเหมาฯ –พลังงาน-ธนาคารพาณิชย์-ค้าปลีก
คำอธิบายดังกล่าวดูดีมีเหตุผล แต่เมื่อตัวเลขการซื้อขายประจำวันท้ายตลาดออกมา กลับผิดคาด เพราะตลาดหุ้นไทยได้แสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผลออกมาอีกครั้ง โดยนักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่อง 1,78 พันล้านบาท (แม้แอบไปซื้อสัญญาขายล่วงหน้ากว่า 5.1 พันสัญญาในตลาดอนุพันธ์) เช่นกันกับนักลงทุนรายย่อยที่สู้สุดฤทธิ์ ซื้อสุทธิอีก 1,045.94 ล้านบาท ขณะที่กองทุนในประเทศกลายเป็นผู้ขายสุทธิ 2,7 พันล้านบาท
คนที่ควรขายกลับซื้อ และคนที่ควรซื้อกลับขาย ถือเป็นความไม่สมเหตุสมผลอย่างมีนัยสำคัญ สอดรับกับที่ นัสซิม ทาเล็บ เจ้าของทฤษฎี Black Swan ที่ใช้อธิบายพฤติกรรมของนักลงทุนในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของตลาดเก็งกำไร
บนความไม่สมเหตุสมผลของตลาดยามนี้ การแข็งค่าของเงินบาท ดูจะเป็นปัจจัยชี้นำที่มีความสำคัญไม่น้อย เพราะค่าเงินบาทเมื่อค่ำวานนี้ มีท่าจะกลับมาแข็งค่าต่อไป หลังจากทำท่าอ่อนลงในตอนเช้า ทำให้มีคำถามว่า การไหลเข้าของฟันด์โฟลว์ยังไม่หยุดยั้งอีกหรืออย่างไร หลังจากในสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าบาทแข็งปรับตัวขึ้นไปสู่จุดที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 1 ปีที่ระดับ 34.53 บาทต่อดอลลาร์
ประเด็นของความไม่สมเหตุผลของพฤติกรรมนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่เข้าข่าย “ความบ้าคลั่งของฝูงชน” เมื่อวานนี้ ถือเป็นพฤติกรรมในระยะสั้นเท่านั้น เพราะโดยข้อเท็จจริง ในระยะกลางหรือยาว พฤติกรรมของนักลงทุนล้วนถูกกำกับให้มีกรอบที่แน่นอนอย่างสมเหตุสมผลภายใต้หลักการ “ความฉลาดของฝูงชน”
คำถามสำคัญที่นักลงทุนเน้นคุณค่าทั้งหลายนับตั้งแต่ยุคของเบนจามิน แกรห์มเป็นต้นมา จำต้องตั้งสติก็คือ จะค้นหาวิธีการสร้างความสามารถทำกำไรได้มากน้อยเพียงใด ในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล
คำตอบที่พูดง่ายที่สุด และทำยากที่สุดคือ สร้างเขตปลอดภัยของการลงทุน หรือ margin of safety (MOS) ขึ้นมาให้ได้
คำจำกัดความของ เขตปลอดภัยของการลงทุน คือ การเข้าลงทุนในจังหวะที่ราคาหุ้นหรือหลักทรัพย์สามารถเข้าซื้อได้ โดยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ซึ่งแกรห์ม ได้แนะวิธีการค้นหาหุ้นที่มี MOS ไว้ 10 ข้อ หากหุ้นตัวไหนสามารถผ่านเกณฑ์ 7 ใน 10 ข้อได้ ถือว่าน่าลงทุน เพียงแต่เกณฑ์ทั้ง 10 นั้นยุ่งยากมากเกินไป
ในกรณีที่ไม่ต้องการลงรากลึกมากกับพื้นฐานของแกรห์ม นักลงทุนอาจสามารถกำหนดวิธีการสร้าง MOS ได้หยาบๆ ผ่านกระบวนการประเมินความเสี่ยงอย่างง่ายๆ ก่อนการเข้าลงทุน คือ
– อัตราส่วนผลกำไรต่อราคา หรือ E/P ต้องมากกว่า 2 เท่าของผลตอบแทนของหุ้นกู้ ระดับ AAA
– ค่า P/E ไม่สูงกว่า 40% ของค่าเฉลี่ยสูงสุดของหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
– ให้ผลตอบแทนเงินปันผลเป็น 2 ใน 3 ของดอกเบี้ยหุ้นกู้ ระดับ AAA
– ราคาหุ้นต้องไม่เกิน 2 ใน 3 ของบุ๊คแวลูต่อหุ้น (ไม่รวมสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนเข้ามาคำนวณด้วย)
– มีอัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio)>= 2
– มีผลกำไรลดลงไม่เกิน 5% และไม่เกิน 2 ครั้งในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา
แม้เกณฑ์ประเมินความเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้เกิดความแน่นอนได้ในระดับหนึ่งว่า โอกาสของการลงทุนผิดตัวหรือซื้อของเน่าเข้าพอร์ต จะบรรเทาลงไป แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า ไม่มีเขตปลอดภัยจนกระทั่งไร้ความเสี่ยงใดๆ เกิดขึ้นในโลกนี้ เนื่องจากความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ขึ้นอยู่กับจิตใจของนักลงทุนนั่นเอง
นักลงทุนมักจะมีแนวโน้มเอียงที่จะถูกครอบงำด้วยความเชื่อและข้อมูลที่ชวนให้หลงทางได้ง่ายมาก โดยขั้วหนึ่ง จากแรงเหวี่ยงของความหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง ในยามที่ตลาดปรับตัวขาลงแรงต่อเนื่อง จนกระทั่งค่าเฉลี่ยของ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ขณะที่อีกขั้วหนึ่ง แรงเหวี่ยงความเชื่อมั่นเกินขนาด ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในยามตลาดเป็นขาขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งค่า P/E สูงระดับทำนิวไฮเป็นประวัติการณ์ใหม่
แนวโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ทำให้เขตปลอดภัยบนพฤติกรรมไร้เหตุผล เป็นเพียงอุดมคติมากกว่าข้อเท็จจริงของตลาดเก็งกำไร