ไร้ปัจจัยใหม่ลูบคมตลาดทุน
ปัจจัยในที่นี้หมายถึงทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบนะ
ธนะชัย ณ นคร
ปัจจัยในที่นี้หมายถึงทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบนะ
คือ ดัชนีตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบ เหมือนเล่นชักเย่อกันอยู่ เพราะอย่างวานนี้แรงซื้อกับแรงขาย มีสัดส่วนสูสีกันมาก
ดัชนีจึงวิ่งอยู่ระดับ 1,550 จุด บวก/ลบ จากนี้ไม่มาก
ปัจจัยลบเรื่องของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนก็รับทราบ หรือซึมซับไปแล้ว ว่าเฟดจะขึ้นแน่นอน ซึ่งอย่างน้อยในปีนี้ ก็น่าจะขึ้น 1 ครั้งล่ะ
ส่วนจะเป็นรอบเดือนกันยายนนี้ หรือว่าในช่วงปลายปี ก็ไปลุ้นกันอีกครั้ง
ด้านปัจจัยบวก ก็ยังไม่มีอะไรใหม่ๆ เข้ามา
อย่างผลประกอบการในไตรมาส 2/59 รวมถึงการขึ้น XD เพื่อจ่ายปันผลระหว่างกาล ก็กำลังผ่านพ้นไปแล้ว
อาจมีประเด็นใหม่ ก็เป็นเรื่องที่โบรกฯ อาจจะมีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิของ “บจ.” ในไตรมาส 3/59 ว่า จะออกมามากกว่าที่เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านี้
หากเริ่มดีดลูกคิดกันออกมาว่าจะดีขึ้น
ประเด็นดังกล่าว ก็ยังพอเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดได้บ้าง
หันมาดูแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์
จากต้นปีมาถึงวานนี้ ซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 1.15 แสนล้านบาท แต่ช่วงนี้ดูเหมือนจะอ่อนแรงลงไป แต่ก็ยังคงซื้อสุทธิอยู่
และหากไปมองตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ที่เหลือ คือ ฟิลิปปินส์ และอินโดเนีเซีย ก็จะพบว่า ฟันด์โฟลว์เริ่มขายกันออกมา สวนทางกับประเทศไทย
ทว่า ใครที่คาดหวังว่า หลังเสร็จสิ้นงานไทยแลนด์โฟกัส 2016 แล้วต่างชาติจะเข้ามาอีกนั้น
ในปีนี้อาจประเมินผิด
เพราะนักวิเคราะห์หลายคนมองเกือบจะตรงกันว่า หากจะมีเข้ามาก็น่าจะเป็นเพียงเล็กน้อย
นั่นเพราะก่อนหน้านี้ ฟันด์โฟลว์เข้ามาเยอะมากแล้ว
หุ้นที่นำไปโรดโชว์ในงานไทยแลนด์โฟกัส 2016 หลายๆ ตัว ราคาหุ้นต่างก็ปรับขึ้นจากต้นปีอย่างมากไปแล้ว
เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่างน้ำมัน กลุ่ม PTT ทั้งกลุ่ม ต่างชาติทั้งหัวดำ หัวแดง ถือกันเต็มไม้เต็มมือ
หุ้นในกลุ่มธนาคาร ทั้ง KBANK และ SCB จากต้นปีก็ขึ้นกันมาแล้ว 30% และก็ต่างชาติอีกเช่นเคยที่เข้าไปเก็บกันมาก่อนหน้านี้แล้ว
กลุ่มค้าปลีก CPALL ราคาปิดตอนสิ้นปี 2558 อยู่ที่ 39.25 บาท
ส่วนวานนี้ปิดที่ 62.25 บาท หรือปรับขึ้นมาแล้ว 58.59%
หรือหุ้นค้าปลีกอีกตัวที่น่าสนใจคือ BJC ราคาได้ปรับขึ้นมาจากต้นปีแล้ว 41.15%
สรุปแล้ว หุ้นหลายๆ ตัว ที่ต่างชาติสนใจลงทุน ส่วนใหญ่ พวกเขาก็จะเก็บเข้าพอร์ตไปก่อนหน้านี้แล้ว
ก่อนหน้านี้ นสพ.“ข่าวหุ้นธุรกิจ” ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ตลาด mai จัดสัมมนาในหัวข้อ “1,600 จุด ฝันที่เป็นจริง?” มีนักวิเคราะห์ชั้นเซียนมา 3 ท่านคือ คุณกรภัทร วรเชษฐ์ บล.โนมูระ พัฒนสิน คุณทรงกลด วงศ์ไชย บล.กรุงศรี และ คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ บล.ซีแอลเอสเอ
ทั้งหมดต่างมองคล้ายๆ กันครับ
หากดัชนีจะขึ้นจากระดับปัจจุบันไปอีก หรือไปถึง 1,600 จุด
นั่นหมายความว่าจะต้องมีปัจจัยบวกเข้าหนุน เข้ามาช่วย เช่น ตัวเลขจีดีพี ไตรมาส 3/59 จะต้องออกมาเหนือกว่าที่คาดกันไว้
หากจีดีพีดี นั่นหมายถึง แบงก์จะปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นๆ หุ้นแบงก์ก็อาจขยับขึ้นไปได้อีก
ผลประกอบการของ “บจ.” ก็จะต้องออกมาดีเช่นกัน หรือต้องดีกว่าที่คาด
หากเป็นเช่นนั้น นักวิเคราะห์ก็จะต้องปรับคำแนะนำการซื้อหุ้นรายตัวที่ผลประกอบการออกมากันใหม่
นี่ก็จะเป็นแรงหนุนกันต่อไปอีก
ส่วนเรื่องของฟันด์โฟลว์ ก็จะต้องเข้ามาต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยที่ว่านั้นเข้ามาสนับสนุนด้วยส่วนปัจจัยภายนอก เรื่องเฟด หากปีนี้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งก็พอไหว แต่หากปรับขึ้น 2 ครั้ง ก็ต้องตัวใครตัวมัน(ไว้ก่อน)
ช่วงนี้นักลงทุน จึงต้องเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวไปก่อน
ขุดตัวกลาง ตัวเล็ก มาเล่นกันไป
หรือหุ้นบางตัวที่อิงกับการเติบโตภายในประเทศบางตัว หรือ Domestic Play
แต่อย่างว่าล่ะ ในสถานการณ์ตลาดหุ้นแบบนี้
ทำให้บรรดา “หุ้นปั่น” มักฉวยโอกาสออกมาอาละวาด
และวานนี้ก็มีโผล่มาแล้ว