แพะในเงามืดพลวัต 2016
ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงแรงเป็นวันที่สองของวันทำการติดต่อกัน รวมแล้ว 2 วันร่วงไปมากกว่า 46 จุด แต่จนถึงป่านนี้ ยังคงหาสาเหตุว่าทำไมจึงร่วงแรงไม่เจอ
วิษณุ โชลิตกุล
ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงแรงเป็นวันที่สองของวันทำการติดต่อกัน รวมแล้ว 2 วันร่วงไปมากกว่า 46 จุด แต่จนถึงป่านนี้ ยังคงหาสาเหตุว่าทำไมจึงร่วงแรงไม่เจอ
คำตอบสำหรับสาเหตุของการร่วงแรงของไทยมีลักษณะเสมือนตาบอดคลำช้างไม่มีผิด และเชื่อว่า ท้ายที่สุด ก็อาจจะหาไม่เจอในท้ายที่สุด เสมือนหนึ่งคำอธิบายว่า สายลมคืออะไร นั่นเอง
นักวิเคราะห์ในตลาดตราสารอนุพันธุ์บางสำนัก อธิบายว่า มีการปรับตัวลงแรงเพราะข่าวลือในประเทศ แต่ไม่บอกว่าข่าวลือที่ว่าคือข่าวอะไร แล้วก็บอกเพิ่มเติมอีกว่า แม้จะดีดตัวกลับมาได้บ้าง แต่อาจจะปรับตัวลงได้อีก เพราะกังวลแรงขายออกมามากต่อเนื่อง โดยให้ข้อสังเกตว่าต้องจับตายอดซื้อขายสุทธิขายของต่างชาติ หากต่างชาติขายสุทธิวานนี้ ก็จะลงต่อ แต่หากซื้อสุทธิก็จะหยุดขาลงได้บ้าง แต่ก็จะไม่หยุดลงทันที
คำอธิบายดังกล่าว ไม่สมเหตุสมผลมากนัก เพราะข้อมูลหลังปิดตลาดวานนี้ ต่างชาติหอบเงินเข้ามาซื้อสุทธิมากถึงเกือบ 2.5 พันล้านบาท แต่กลับมีข้อมูลที่น่าสนใจและขัดแย้งกันคือ ต่างชาติเริ่มทยอยขายตราสารหนี้ออกไปมากขึ้น โดยเป็นตราสารหนี้ที่ยังไม่หมดอายุ ซึ่งมีปริมาณมากพอที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนยวบลง
วานนี้ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงานว่า นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิมากถึง 3,358 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.85% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.02% สวนทางกับราคาพันธบัตร
การไหลออกของเงินจากการขายตราสารหนี้ ทำให้ค่าเงินบาทวานนี้ ปิดตลาดเย็นนี้เทียบกับดอลลาร์ สวนทางกับค่าเงินภูมิภาคชัดเจน ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเงินต่างชาติที่ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นวานนี้ มาจากไหนกันแน่
คำอธิบายอีกทางหนึ่งที่กลายเป็นสูตรสำเร็จง่ายๆ คือ ขายเพราะได้เวลาที่ดัชนีปรับตัวลงแล้ว เป็นแค่การพักฐานหลังขึ้นค่อนข้างมาก และนักลงทุนยังหวั่นเรื่องเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยนักลงทุนอาจจะเกิดความกังวลได้ว่า หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจะกดดันตลาดหุ้นได้
เหตุผลข้างต้น ฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะหยาบและง่ายเกินไปที่จะเชื่อ แต่ก็สอดคล้องกับคำอธิบายของบรรดาผู้จัดการกองทุนต่างๆ ที่หลายวันมานี้ทำการขายสุทธินำเดี่ยวจนกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของคนที่เกี่ยวข้องว่าทุบตลาด โดยคนเหล่านี้ อธิบายว่า การที่มูลค่าหุ้นไทยเริ่มแพงจากการทะยานขึ้นนานกว่า 2 เดือน ทำให้เมื่อเทียบระดับ P/E กับค่าเฉลี่ยในภูมิภาค โดยปัจจุบันของไทยอยู่ที่ 16.29 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 14.98 เท่า แต่ก็มีมุมมองว่า หากดัชนีต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด เป็นโอกาสในการทยอยซื้อสะสมในหุ้นไทยเพื่อลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้
นักวิเคราะห์บางสำนักที่ไม่อยาก “เอามือซุกหีบ” กับประเด็นร้อนในประเทศ โบ้ยส่งว่า การร่วงแรง 2 วันต่อเนื่องของดัชนีตลาดหุ้นไทย เกิดจาก ะสแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความกังวลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จึงทำให้ดัชนีมีความผันผวนในระยะสั้น
ในขณะที่นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็เอาตัวรอดจากการตอบคำถามถึงสาเหตุของการร่วงแรงของตลาดเช้าวานนี้ว่า อาจจะเป็นการขายทำกำไรออกมา โดยยังไม่ทราบปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างแน่ชัด แต่หลังจากดัชนีปรับตัวลงแรง กว่า 40 จุดก็เริ่มเห็นการดีดตัวกลับขึ้นมาได้ จึงไม่น่ากังวล
คนที่ออกมาฟันธงโดดเด่นมากสุดวานนี้ (ไม่ว่าจะตรงเป้าหรือไม่) หนีไม่พ้น นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ออกมาระบุว่า ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงแรงวานนี้ มาจากข่าวลือที่สร้างความกังวลและความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุน ซึ่งแรงขายที่ออกมา มาจากความรู้สึกของนักลงทุนไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงอยากให้นักลงทุนแยกระหว่างความรู้สึกกับเหตุผลออกจากกัน
นางวรวรรณยังระบุว่า ยังไม่พบว่ามีแรงขายที่ผิดปกติจากนักลงทุนรายย่อย ขณะเดียวกัน ผู้จัดการกองทุนก็มีการซื้อหุ้นกลับ เนื่องจากราคาปรับลดลงมามากและยังมั่นใจต่อทิศทางตลาดหุ้นในระยะกลางว่ายังคงเป็นขาขึ้น โดยยังมั่นใจในพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีบริษัทจดทะเบียนถึง 120-150 บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าปีก่อน นักลงทุนจึงควรพิจารณาราคาหุ้นเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทเป็นหลัก
คำอธิบายแบบ “ตาบอดคลำช้าง” เหล่านี้ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายนอกจากต้องการอธิบายถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงแรงสวนทิศทางของตลาดในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเหตุปัจจัยในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวของแต่ละตลาด ย่อมมีรายละเอียดที่ต่างกันในแต่ละประเทศ เพราะข้อเท็จจริงสำคัญกว่าคำอธิบายเสมอ และข้อเท็จจริงบางประการก็ไม่ต้องการคำอธิบายเช่นกัน แม้จะมีไม่มากนัก
สัจจะ และการตีความ ไม่ใช่เส้นทางที่เคียงคู่กันเสมอไป เพราะขึ้นกับเงื่อนเวลาและขีดจำกัดที่บางครั้งก็ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้
โมเมนตัมของตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน เพราะตัวแปรสำคัญคือพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนที่มีพื้นฐาน เจตนา ความรอบรู้ และเงินทุนหน้าตักที่ไม่เท่าเทียมกัน ล้วนอยู่ใต้เงื่อนไขของเวลาเป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน
พฤติกรรมหลายอย่างของมนุษย์ก็ไม่ได้เกิดจากความีเหตุมีผลเสมอไป บางครั้งการหาเหตุผลจากความไม่มีเหตุผล ก็เป็นความพยายามที่ว่างเปล่าและสูญเปล่า