DAII เสียตัวฟรีๆแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
บริษัทที่มีเงินสดเหลือเฟืออย่าง บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S แต่มีขีดจำกัดในการสร้างรายได้ จึงต้องการเร่งเติบโตและสร้างรายได้ในอนาคตทางลัดด้วยการซื้อขายกิจการ ไม่ใช่เรื่องใหม่
บริษัทที่มีเงินสดเหลือเฟืออย่าง บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S แต่มีขีดจำกัดในการสร้างรายได้ จึงต้องการเร่งเติบโตและสร้างรายได้ในอนาคตทางลัดด้วยการซื้อขายกิจการ ไม่ใช่เรื่องใหม่
ผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูลภิรมย์ภักดีของ S จึงมีที่ปรึกษาการซื้อขายกิจการที่เก่งฉกาจไม่เบา เพื่อให้ดีลซื้อขายกิจการมีความซับซ้อนและได้รับประโยชน์สูงสุด
หลังจากปี 2558 ที่ S เข้าซื้อกิจการโรงแรมในอังกฤษ ด้วยดีลการซื้อขายอันแสนพิสดาร จนเป็นกรณีศึกษามาแล้ว ล่าสุด ดีลซื้อกิจการของ S จึงไม่ธรรมดาอีกตามเคย..และยังไม่ต้องใช้เงินสดอีกเหมือนเดิม
S แจ้งเมื่อวานนี้ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการลงทุนใน บริษัท ไดอิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ DAII อนุมัติการเข้าเทกโอเวอร์กิจการที่โยงเข้ากับ DAII และ S มีรายละเอียด คือ
-S ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของจำนวนไม่เกิน 678,999,969 หุ้น ซึ่งมีราคาพาร์ 1 บาท ในราคาหุ้นละ 5 บาท หรือ 55.63% ของจำนวนหุ้นใหม่ที่ออกของ DAII รวมมูลค่าไม่เกิน 3,395 ล้านบาท
-S จะจำหน่ายหุ้นสามัญของ บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (เนอวานา) ที่บริษัทฯ ถืออยู่ทั้งหมด 100% จำนวน 4,481,717 หุ้น พาร์หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 51% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ให้แก่ DAII มูลค่ารายการไม่เกิน 2,142 ล้านบาท และ ขายที่ดินจำนวน 2 แปลง มูลค่ารายการ 1,253 ล้านบาท รวมมูลค่ารายการจำหน่ายไปไม่เกิน 3,395 ล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้นเพิ่มทุนของ DAII ในลักษณะ พีพี
-บริษัท ดีคอร์ป กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมใน DAII ตกลงว่า จะไม่จำหน่ายจ่ายโอนหุ้นที่เหลือในไดอิออกไปเป็นเวลา 30 เดือน ภายหลังการทำธุรกรรมจบสิ้นลง ซึ่งคาดว่าจะเหลือหุ้นอยู่ประมาณ 2.74%เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการและการดำเนินธุรกิจในช่วงเริ่มต้นที่ S เข้าลงทุน
-หลังการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว S ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ รวมมูลค่ารายการไม่เกิน 2,708,000,075 บาท ในราคา 5.00 บาท
การทำรายการเกือบทั้งหมด (ไม่นับเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ที่ต้องใช้เงินสด) จะไม่ใช้เงินสดแม้แต่บาทเดียว ด้วยวิศวกรรมการเงินจากการแลกหุ้น และที่ดิน เป็นการประหยัดเงินสดบานพะเรอ
ดีลนี้มีข้อสังเกต 2 ประการน่าสนใจคือ
1)วิธีการทำดีล คล้ายคลึงกันกับกรณีที่กลุ่มภิรมย์ภักดีเข้าซื้อกิจการของ RASA เมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยการแลกหุ้นกับที่ดิน ไม่ใช่เงินสด โดยผู้ถือหุ้นเดิมไม่ได้อะไร นอกจาก “เงินทอน” ที่ในข่าวลือ ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียด
2)ผู้ถือหุ้นทุกรายของ DAII ไม่ได้อะไรเลย แม้กระทั่งรายใหญ่ เพราะไม่ได้เป็นการขายหุ้นเดิมออกจากมือให้กับ S หรือบริษัทย่อยของ S แม้แต่หุ้นเดียว …หากไม่มีกรณีที่รายใหญ่เดิมของ DAII ได้รับ “เงินทอน” ก็ถือว่าพิสดารอย่างมาก..เพราะเท่ากับ เสียตัวฟรีๆ
ประเด็นที่น่าติดตามในอนาคตล่วงหน้า ที่ต้องรอลุ้นกัน คือจะมีใครในกลุ่มนักลงทุนที่ถือหุ้นของ DAII ขายหุ้นของ DAII ที่ล่าสุดวานนี้ ราคาทะลุไปเหนือ 6.00 บาทเรียบร้อยแล้ว ในราคาเพียงแค่ 5.00 บาท
หากไม่มีรายย่อยคนไหนสนใจ S ก็สามารถอ้างสิทธิ ไม่จำเป็นต้องซื้อ เพื่อจะได้หาเหตุให้ DAII เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่อไป..สบายๆๆ
กรณีนี้ เท่ากับ DAII ที่เพิ่งเข้าระดมทุนในตลาดในต้นปี 2558 ก็ถูกขายทิ้งในลักษณะ “ตีหัวเข้าบ้าน” ถอนทุนกลับได้อย่างง่ายดาย จากดีลควบรวมกิจการ เพื่อให้ S โตทางลัด
เป้าหมายของการซื้อกิจการที่เกิดขึ้นนี้ บ่งบอกเอาไว้ชัดในแผนธุรกิจว่าเป็นยุทธศาสตร์สร้างแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย ภายใต้ร่มธงของ S
เหตุผลของ S ในการโตทางลัดครั้งนี้คือ ภายหลังจากดีลจบ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกิจการ จะแบ่งแยกขอบข่าย ตัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดย S จะดำเนินธุรกิจ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ Luxury และระดับ Super Luxury, ธุรกิจโรงแรม และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า
ส่วน DAII จะดำเนินธุรกิจ 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับต่ำกว่า Luxury และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะไม่แข่งขันกันในการจัดซื้อที่ดิน
ในเชิงของกิจการแล้ว นี่ถือว่าสมเหตุสมผล แต่ในเชิงของราคาหุ้นแล้ว….นักเล่นเกม “ข้อมูลอินไซด์” กับข้อมูล (ที่อ้างว่า)วงใน โดยหวังดักทางซื้อหุ้นล่วงหน้าไปขายให้ตอนทำเทนเดอร์ ..พากันติดยอดกันเป็นแถบ
หนาวยะเยือกกันบนยอดดอยกันทั่วหน้า….สาสมแก่ใจตามๆ กัน