แครี่ เทรด หลังยุคจอร์จ โซรอสพลวัต 2016

คำตอบอันเป็นที่สุด ถึงสาเหตุของการที่ต่างชาติหอบเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ปฏิบัติการแครี่ เทรด ของกองทุนต่างชาติ ที่ปัจจุบันไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะเงินทุนต้นทุนต่ำจากญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว


แครี่ เทรด หลังยุคจอร์จ โซรอส

 

คำตอบอันเป็นที่สุด ถึงสาเหตุของการที่ต่างชาติหอบเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ปฏิบัติการแครี่ เทรด ของกองทุนต่างชาติ ที่ปัจจุบันไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะเงินทุนต้นทุนต่ำจากญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว

มติของคณะกรรมการทางการเงิน (กนง.) ในหลายเดือน รวมทั้งล่าสุดสัปดาห์นี้ ที่ย้ำว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คือเสน่ห์ดึงดูดให้กองทุนเก็งกำไรต่างชาติ พากันหนีเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

นักการเงินหลายคน ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% แม้ว่าจะต่ำมากพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังถือว่ามีส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศขนาดใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐฯ (0.5%) ญี่ปุ่น และกลุ่มยูโรโซน (สองกลุ่มหลังนี้ มีอัตราดอกเบี้ยติดลบ) ซึ่งเหมาะกับการหากำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยข้ามประเทศที่เรียกว่า แครี่ เทรด อย่างยิ่ง

แครี่ เทรด ในปัจจุบัน แตกต่างการโจมตีค่าเงินของ เฮดจ์ ฟันด์ ยุค จอร์จ โซรอส หลายเท่า

โลกเริ่มรู้จักปฏิบัติการ แครี่ เทรด ของโลก ที่ญี่ปุ่นในปี 2545 (ช่วงหลังจากการถล่มตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก) โดยช่วงนั้น ธนาคารกลางญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้พ้นจากภาวะเงินฝืด ซึ่งมีส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในยูโรโซน (3.5%) และเฟดฯ (5.25%)

ช่วงเวลาประมาณ 6 ปี ที่กองทุนในญี่ปุ่น พากันกู้เงินจากธนาคาร หรือ ออกหน่วยลงทุนในรูปเงินเยน ที่เป็นเงินต้นทุนต่ำมาก (super-low-cost funds) เพื่อไปหาผลตอบแทนจากส่วนต่างของดอกเบี้ยต่างประเทศ  จึงเรียกชื่อปฏิบัติการดังกล่าวว่า เยน แครี่ เทรด

จากเยน แครี่ เทรด ซึ่งเป็นกระแสที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกในช่วงนั้น กลายมาเป็น แครี่ เทรดทั่วไป ในปัจจุบัน เพราะการกู้ยืมหรือระดมเงินเพื่อมาซื้อสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงิน ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เกิดขึ้นโดยเฮดจ์ ฟันด์ ที่สามารถทำกำไรได้จากส่วนต่างของผลตอบแทนและการแข็งค่าของสกุลเงินเป้าหมาย ผ่านตลาดเก็งกำไร 4 ประเภทคือ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหุ้น ตลาดตราสารนี้ และตลาดโภคภัณฑ์ล่วงหน้า และเมื่อได้รับผลตอบแทนในระดับหนึ่งแล้วก็จะปิดสถานะ (Carry trade Unwinding) ด้วยการขายสินทรัพย์นั้นและซื้อคืนเงินที่อยู่ในสกุลเงินระดมทุนเพื่อชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย

การทำ แครี่ เทรด จึงคล้ายกับการจับเสือมือเปล่า เนื่องจากสามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้จาก “อสมมาตรของตลาดเงิน” ข้ามประเทศ ในขณะที่มีความเสี่ยงไม่มากนัก หากสามารถเข้าออกตลาดได้รวดเร็วเพียงพอ

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ แครี่ เทรด กลายเป็นเครื่องมือหากำไร เริ่มมีเหตุผลมากขึ้น และในช่วงหลายปีมานี้ หลังจากวิกฤตซับไพรม์เป็นต้นมา

หลังวิกฤตซับไพรม์ ความพยายามกอบกู้วิกฤตทางเศรษฐกิจด้วยมาตรการทางการคลังของรัฐบาลชาติต่างๆ ยอมขาดดุลงบประมาณเรื้อรัง และสัดส่วนหนี้สาธารณะของชาติมาถึงขีดอันตราย ทำให้ไปต่อไม่ได้ ทางเลือกสุดท้ายของการซื้อเวลารอเศรษฐกิจฟื้นตัวคือ ใช้มาตรการทางการเงินอย่างจริงจัง

การพิมพ์ธนบัตรจำนวนมหาศาลโดยธนาคารกลางสำคัญของโลก เอามาซื้อหนี้เอกชนผ่านมาตรการ QE พร้อมกับลดอัตราดอกเบี้ยจนติดพื้นควบคู่กัน  ส่งผลข้างเคียง 3 ประการตามมานั่นคือ สงครามลดค่าเงินอย่างไม่เป็นทางการ สงครามลดดอกเบี้ยเงินฝากอย่างไม่เป็นทางการ และ ปริมาณเงินส่วนเกินที่ท่วมตลาด จนกลายเป็นทุนเก็งกำไรระหว่างประเทศ โดยไม่ถูกดูดซับเข้ามาในภาคการผลิตและบริการที่แท้จริง

ทุนล้นเกินจากปริมาณเงินซึ่งชาติหลักของโลก (สหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และล่าสุดอังกฤษ) ได้พิมพ์ออกมาในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาจนท่วมตลาดโลก มากเกินความสามารถที่ภาคการผลิตและบริการที่ย่ำแย่จะดูดซับไหว  จำต้องปล่อยให้ทุนส่วนเกินไหลเวียนไปมา เปิดช่องให้กับการทำแครี่ เทรดครั้งใหม่ ที่แม้จะมีส่วนต่างของดอกเบี้ยต่ำกว่ายุค เยน แครี่ เทรด ก็ยังคุ้มค่าความเสี่ยง

ประเทศไทยนั้น มีปัจจัยเหมาะกับการนำเงินไหลเข้ามาเพื่อทำแครี่ เทรดในยามนี้ เพราะ 1) มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศระดับหัวแถวของโลก 2) มีเศรษฐกิจเติบโตแม้จะอยู่ในระดับต่ำลง และเงินเฟ้อต่ำ  3) ตลาดทุนเปิดกว้าง ไม่มีมาตรการควบคุมการไหลเวียนของเงินทุนเข้มงวด 4) ธนาคารแห่งประเทศไทย เลือกการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงกว่าชาติอื่น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อในประเทศ

การไหลเข้าเพื่อทำแครี่ เทรดของเฮดจ์ ฟันด์ ในตลาดทุนไทย อาศัยส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 1.25% ในช่วง 2 เดือนเศษที่ผ่านมา ทำให้นักการเงินประเมินว่า จะเกิดขึ้นต่อไป ไม่ว่าเฟดฯจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ หรือไม่ เพราะยังเหลือส่วนต่างให้ทำกำไรได้อีกมาก

ตราบใดที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยยังสูงลิ่ว ดังจะเห็นได้จากล่าสุดวานนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 3 เดือน อยู่ที่  1.45%  อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี  อยู่ที่ 1.49% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี  อยู่ที่ 1.86% และ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ 2.25% การที่จะเห็นกองทุนต่างชาติหอบเงินกลับออกไปจากตลาดหุ้นไทย (ซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่มีสัดส่วนน้อยของเงินเก็งกำไรที่ไหลบ่าข้ามา เมื่อเทียบกับการเข้ามาที่ตลาดตราสารหนี้) ย่อมเป็นไปได้ยาก

ข้อเท็จจริงนี้ น่าจะมีคำตอบที่ดูสมเหตุสมผลว่าเหตุใด ต่างชาติถึงซื้อสุทธิต่อเนื่องเกือบทุกวัน ไม่ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะบวกหรือลบ

เช่นเดียวกัน ก็เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลเช่นกันว่า เหตุใดค่าเงินบาทถึงไม่ยอมอ่อนลงไปที่ระดับเหนือ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงนี้ได้อีกครั้ง

 

 

Back to top button