วันดีๆ ของตลาดหุ้นไทยขี่พายุ ทะลุฟ้า
เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) ตลาดตราสารหนี้ไทย มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 100,482 ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยกว่าครึ่ง
ชาญชัย สงวนวงศ์
เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) ตลาดตราสารหนี้ไทย มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 100,482 ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยกว่าครึ่ง
มันก็เป็นของมันเช่นนี้อยู่แล้ว ที่เวลาเงินทุนจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามา เงินจะไหลไปเข้าที่ตลาดตราสารหนี้มากกว่าตลาดหุ้นเสมอ เพราะให้ผลตอบแทนชัวร์กว่า และความเสี่ยงก็น้อยกว่า
โดยเฉพาะประเทศไทยเราเวลานี้ รับอานิสงส์จาก “แครี่ เทรด” ที่ปฏิบัติการโดยกองทุนต่างชาติ
“แครี่ เทรด” ก็คือปฏิบัติการเคลื่อนย้ายทุนจากแหล่งที่มีต้นทุนต่ำ ไปหาผลตอบแทนยังแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยรับ“แครี่ เทรด” ทั้งเงินเยน ยูโร และดอลลาร์พร้อมกันทั้ง 3 ทาง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายสำหรับญี่ปุ่นและยูโรโซน ยังคงติดลบ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐก็ยังคงอยู่ในระดับ 0.5% เห็นได้ชัดเลยว่ายังคงต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ที่ยังคงตรึงอยู่ในระดับ 1.5% เป็นอันมาก
เงินจึงไหลเข้ามาไทยอย่างทั่วสารทิศ
มาหากินกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 3 เดือนในระดับ 1.45% บ้าง พันธบัตร 1 ปีอยู่ที่ 1.50% บ้าง พันธบัตร 5 ปีอยู่ที่ 1.84% บ้าง และพันธบัตร 10 ปีอยู่ที่ 2.16% บ้าง
ส่วนตลาดหุ้นไทย ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนักว่า แม้กองทุนในประเทศ บัญชีโบรกเกอร์ และรายย่อย จะสาดเทขายหุ้นออกมามากมายเท่าไหร่ก็ตาม แต่นักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นฝ่ายเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นไทย ถึงจะมีเงินเข้ามาน้อยกว่าตลาดตราสารหนี้ แต่นับจากนี้ไป ตลาดหุ้นไทยก็ยังคงมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง
อย่างน้อยก็น่าจะยืนยาวไปถึงช่วงต้นเดือนหน้า (ต้นต.ค.) ล่ะครับ
ทั้งนี้ก็เพราะทั้งบีโอเจของญี่ปุ่นและ FOMC ของสหรัฐ ประกาศไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแทบจะในเวลาไล่เลี่ยกัน
ฉะนั้นก็ยังคงจะเห็นเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นไปอีกพักใหญ่ล่ะครับ
คนที่ถือหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน วัสดุก่อสร้าง และหุ้นธนาคาร ก็ยังสามารถจะถือต่อหาผลตอบแทนในระดับสูงต่อไปได้ ก็จนกว่าจะมีสัญญาณทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดน่ะครับ
แต่เขาก็ว่ากันว่า ทุนมาเที่ยวนี้ คงจะออกจากตลาดไทยไปยากอยู่เหมือนกัน ตราบใดที่อัตราดอกเบี้ยไทย ยังตรึงอยู่ในระดับสูง
เพราะทางการไทย ผู้คุมนโยบายการเงินคือแบงก์ชาติ ยึดถือ“เป้าหมายเงินเฟ้อ” เป็นหลัก ค่าเงินบาทจะแข็งจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกอย่างไร นโยบายแบงก์ชาติก็ไม่มีวันปรับเปลี่ยน
ถึงได้เป็นสวรรค์ของกระบวนการ“แค่รี่ เทรด” ยังไง
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ได้น้ำเลี้ยงดีจากทุนต่างชาติ ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นดีไปหมด อำนาจหนึ่งก็ย่างกรายเข้ามา เพื่อจะเข้ามาคุมเข้มจัดระเบียบตลาดหุ้น
อำนาจนั้นก็คือก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งขณะนี้ได้ชงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ 2535 อันเป็น “ยาแรง” ออกมาแล้ว
เสมือนฝ่ายต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในตลาดหุ้น ให้สันนิษฐานเป็นอาชญากรไว้ก่อน ก็ไม่ปาน
โบรกเกอร์ที่ขยันไปทำ ”วิสิท” บริษัทจดทะเบียนต่างๆ ไม่สามารถจะนำเสนอข้อมูลใดๆ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ออกสู่ภายนอกได้เลยจนกว่าจะมีการแจ้งข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือก.ล.ต.แล้วเท่านั้น
ฉะนั้น ต่อจากนี้ไป การคาดการณ์ผลประกอบการ หรือการให้มุมมองจุดแข็งจุดอ่อนของบริษัทจดทะเบียน คงจะทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
กฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ค่อนข้างจะให้เจ้าหน้าที่ใช้ “ดุลพินิจ” ค่อนข้างมาก ซึ่งผมห่วงว่า หากตลาดหุ้นมีข้อกำหนดคุมเข้มมากมาย ก็จะกลายเป็นตลาดที่ไร้เสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
เป็นตลาดที่ผู้มีอำนาจ“คิดแทน” นักลงทุนไปเสียทั้งหมดไง โดยมองข้ามว่านักลงทุนเองก็มีพัฒนาการฉลาดรู้ คิดตัดสินใจเองอย่างเท่าทันในเกมตลาดหุ้นได้
มันอาจจะไปเหมือนกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่ไร้สีสันและเสน่ห์ ซึ่งวันหนึ่งก็ต้องถูกตลาดเพื่อนบ้านเช่นไทย แซงหน้าไปทางด้านมูลค่าซื้อขายไง
ภาวการณ์ลงทุนที่ดีในตลาดหุ้นไทยวันนี้ก็เพราะ ”น้ำเลี้ยง” จากทุนต่างชาติดอก ซึ่งก็เป็นภาวะปัจจัยชั่วคราว หาได้คงทนถาวรอยู่คู่กับตลาดหุ้นไทยไปตลอดไม่
อย่าได้นำนโยบายหรือมาตรการคุมเข้มมาใช้กับภาวะปัจจัยชั่วคราวจะดีกว่าด้วยประการทั้งปวง
##################