ปากไม่พูด แต่มือคลำแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

ต้นปีนี้ หมอ สมยศ อนันตประยูร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ดับเบิลยู เอช เอ จำกัด (มหาชน) หรือ WHA จากข้อหา “ปากสว่าง”


ต้นปีนี้ หมอ สมยศ อนันตประยูร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ดับเบิลยู เอช เอ จำกัด (มหาชน) หรือ WHA จากข้อหา “ปากสว่าง”

ความผิดดังกล่าวเกิดขึ้น จากการที่หมอสมยศ ดาวรุ่งระดับเศรษฐีหมื่นล้านใหม่เอี่ยมอ่อง ให้ข่าว ”เอ็กซ์คลูซีพ” ผ่านหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ ประจำวันที่ 27 ตุลาคม 2557 ว่า WHA กำลังอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งที่มีมูลค่าราว 5 หมื่นล้านบาท เป็นบริษัทที่มีค่า P/E ประมาณ 10 เท่า มีอายุมากกว่า 20 ปี และอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกับ WHA (หมายถึง บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน หรือ HEMRAJ) ถือเป็น “ให้ข่าวสารชี้นำราคา” โดยที่มิได้เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อน และมีสาระสำคัญที่อันอาจส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์

หมอสมยศถูกลงโทษปรับจากจากคณะกรรมการเปรียบเทียบของ ก.ล.ต.เป็นเงิน 5 แสนบาท 

ล่าสุด อดีตเจ้าหน้าที่ 3 คน ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเทกโอเวอร์จากทาง ”ประตูหลัง” ไปแล้ว ด้วยวิศวกรรรมการเงิน ”เทกโอเวอร์ย้อนศร” (reversed takeover) อย่างบริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ RASA ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหาคนละแบบ 3 กรรม 3 วาระคือ พูดเท็จ-ปิดปาก แต่ลงมือกระทำ-ร่วมสมคบคิด

 เรื่องเกิดขึ้นในระหว่างที่ดีลควบรวมกิจการกำลังดำเนินการ

ต้นปี 2557  RASA ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กฉลองครบรอบ 7 ปีของการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการยินยอมให้กลุ่มทุนใหญ่กลุ่มใหม่ เข้าเทกโอเวอร์กิจการฉันมิตรโดยไม่ใช้เงินสด

วิธีการคือ  RASA ทำการเพิ่มทุนประมาณ 9.5 เท่าของทุนเดิม เพื่อเปิดทางให้กับรายใหม่ โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 500 ล้านหุ้น โดยออกหุ้นใหม่ 4.16 พันล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นจัดสรรหุ้นไม่เกิน 2.93 พันล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1.87 บาท มูลค่ารวม 5.48 พันล้านบาท ให้แก่บริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (หรือ สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้) โดยที่ฝ่ายหลัง สิงห์จะทำการชำระมูลค่าหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวด้วยการสว็อปหุ้น โดยจะนำหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัท เอส ไบร์ทฟิวเจอร์  จำกัด (เอส ไบร์ทฟิวเจอร์) ซึ่งประกอบกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท  99.99% แทนการชำระเงินสด

ส่วนหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจากการเข้าถือโดยสิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ จำนวนไม่เกิน 1.23 พ้นล้านหุ้น จะจัดสรรให้กับ นายสันติ ภิรมย์ภักดี ที่ราคาหุ้นละ 1.87 บาท คิดเป็นมูลค่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งนายสันติจะนำหุ้นที่ถือทั้งหมด 99.99% ในบริษัท สันติบุรี จำกัด (สันติบุรี) ซึ่งประกอบกิจการโรงแรม ที่พัก และบริการขายอาหาร มาชำระแทนการชำระด้วยเงินสด

ดีลเทกโอเวอร์ย้อนศรจบไปแล้ว และ RASA ก็กลายเป็น บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ไม่เหลือคราบไคลของเดิมเลย แต่เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติของผู้บริหารและพนักงานของ RASA ขณะนั้น และตรวจสอบเพิ่มเติม ก่อนแจ้งความผิด ดังต่อไปนี้

-วันที่ 20 มกราคม 2557 นายรพิ พินิจชอบขณะนั้นเป็นกรรมการผู้จัดการและหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ RASA ได้เปิดเผยข้อมูลผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า RASA ไม่ได้มีการติดต่อหรือได้รับการติดต่อจากผู้สนใจที่จะซื้อกิจการและไม่ทราบว่ามีการเสนอซื้อกิจการแต่อย่างใด ทั้งที่ในขณะนั้น นายรพิทราบข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่ามีกลุ่มผู้ลงทุนใหม่สนใจเข้าซื้อหุ้น RASA เนื่องจากนายรพิเป็นผู้ลงนามในความตกลง (MOU) และเป็นผู้ดำเนินการให้ผู้ลงทุนกลุ่มใหม่สามารถเข้าทำ due diligence กิจการและทรัพย์สินของ RASA ได้แล้ว ข้อหา”พูดอย่าง ทำอย่าง” (ภาษาทางการคือบอกกล่าวข้อความอันเป็นเท็จ)  จึงเลี่ยงไม่พ้น

-นางสาวจันทนี ถนอมพงษ์ชาติ ใช้ข้อมูลภายในซื้อและชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อ เข้าข่าย “รู้ ไม่พูด แต่ลงมือทำ” หลังจากได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2557 เกี่ยวกับดีลดังกล่าว เพราะเป็นเลขานุการ และรับผิดชอบการจัดประชุมคณะกรรมการบริษัท แล้วใช้ข้อมูลที่ล่วงรู้ ไปซื้อหุ้น RASA จำนวน 120,000 หุ้น ในวันที่ 11 เมษายน 2557 ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางปนัดดา สุนทรศารทูล ต่อมาได้กำไรจากการขายหุ้น RASA ในเดือนเมษายน 2557 โดยนางสาวจันทนียังได้ไปชักชวนให้ญาติให้ซื้อหุ้น RASA โดยอาศัยข้อมูลภายในดังกล่าวอีก

-นางปนัดดา สุนทรศารทูล ทำการสนับสนุน นางสาวจันทนีให้ซื้อขายหุ้นผ่านบัญชีหลักทรัพย์ของตนเอง เข้าข่าย “ร่วมสมคบคิด”

ผู้ถูกล่าวหา นายรพิยอมรับที่ต้องจ่ายค่า ”พูดโกหก” ปรับเป็นเงิน 500,000 บาท แต่ตามกฎใหม่ที่ออกมา ทำให้นายรพิเข้าข่ายขาดความน่าไว้วางใจที่จะเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ซึ่ง ก.ล.ต. จะพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป

นางสาวจันทนียอมจ่ายค่าปรับ เป็นเงิน 1 ล้านบาท ส่วนนางปนัดดายินยอมจ่ายค่าปรับที่ต่ำกว่าคนอื่น เป็นเงิน 333,333.33 บาท (สามแสนบาทเศษ)

กรณีที่เกิดขึ้นกับ RASA สอดรับกับพุทธวจนะ ”คนที่พูดโกหก ไม่ทำชั่ว ไม่มี” และคนที่ ”ไม่ปากสว่าง แต่มือยาว” ก็มีโทษ

ตรงกันข้ามกับกรณีหมอสมยศที่ “ปากสว่าง” ชนิดต่างขั้วกันลิบลับ

เอวัง…สไตล์ ก.ล.ต….ที่ระยะหลังพยายาม ”ลงดาบ” บ่อยขึ้น เพื่อลบภาพ ”เสือกระดาษ” ชนิดที่ไม่ต้องใช้ ลิควิด เพเพอร์

งานนี้ มีหนาวกันถ้วนหน้า

“อิ อิ อิ”

Back to top button