SCB อาละดิน 2559แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
วันศุกร์ที่ผ่านมา นายพิชญ์ โพธารามิก ทำเรื่องแจ้งตลาดว่าขอทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หุ้นของบริษัทจัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือJTS ในราคา 1.50 บาท หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 19 กันยายน ได้เสนอเทนเดอร์หุ้น JAS ในราคา 7.25 บาทไปแล้ว และเข้าซื้อก่อนทำเทนเดอร์ รวบหุ้นไปได้ทั้งหมด 60% (ไม่นับ 1,200 ล้านหุ้นที่จะนำไปลดทุน หลังจากซื้อคืนมาแล้ว 2 เดือนก่อน)
วันศุกร์ที่ผ่านมา นายพิชญ์ โพธารามิก ทำเรื่องแจ้งตลาดว่าขอทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หุ้นของบริษัทจัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือJTS ในราคา 1.50 บาท หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 19 กันยายน ได้เสนอเทนเดอร์หุ้น JAS ในราคา 7.25 บาทไปแล้ว และเข้าซื้อก่อนทำเทนเดอร์ รวบหุ้นไปได้ทั้งหมด 60% (ไม่นับ 1,200 ล้านหุ้นที่จะนำไปลดทุน หลังจากซื้อคืนมาแล้ว 2 เดือนก่อน)
การทำเทนเดอร์ 2 บริษัทในสัปดาห์เดียวของนายพิชญ์ หากสำเร็จจะต้องใช้เงินค่อนข้างมาก ประเมินแล้วมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท แต่งานนี้เสี่ยพิชญ์ไม่ต้องห่วง เพราะมีคนสนับสนุนให้ปล่อยกู้มาซื้อหุ้นทั้งสองรายการ
เจ้าหนี้ใจดี หนีไม่พ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือSCB เจ้าเก่าที่หันมาจับปลาวาฬกับเกมวิศวกรรมการเงินขนาดยักษ์
เสี่ยพิชญ์ระบุเหตุผลว่าที่ต้องทำเทนเดอร์ JTS เป็นตามสูตรของตลาด และ ก.ล.ต. เรื่อง การมีอำนาจควบคุมโดยทางอ้อม หรือ Chain Principle นั่นเอง…ไม่ใช่โลภมากมายอะไร
เหตุผลคือ การที่เสี่ยพิชญ์ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ JAS…ในขณะที่ JAS ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งใน JTS เดิมในสัดส่วน 32.80% ไปแล้ว
การตั้งราคาเทนเดอร์ที่ระดับ 1.50 บาท ถือว่าแพงกว่าบุ๊คที่อยู่ที่ 1.43 บาท แต่ต่ำกว่าราคาตลาดก่อนขึ้น H ที่ระดับ 1.66 บาท
การตั้งราคาเหมือนไม่เต็มใจซื้ออย่างนี้ ถือว่าเป็นแค่ “พิธีการ” เพราะว่าตามจริง JTS มีงบการเงินขี้เหร่มายาวนาน มีขาดทุนมากกว่ากำไรมาตลอด เพียงแต่การมีหนี้น้อย และสัดส่วน ดี/อี ต่ำแค่ 0.3 เท่า ก็ไม่ทำให้ฐานะเลวร้ายอะไรเพราะส่วนผู้ถือหุ้นมากมายเหลือเฟือ
การทำเทนเดอร์พอเป็นพิธีอย่างนี้ คงคาดหวังอะไรไม่ได้ เพราะเสี่ยพิชญ์คงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมกว่าที่ซื้อ JAS
จุดโฟกัสคงจะต้องเน้นไปที่ JAS ว่า หลังจากวันเปิดเทนเดอร์ทางการวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายนนี้ จะมีใครขนมาขายเสี่ยพิชญ์อีก
งานนี้ SCB ที่ออกแบงก์การันตี และเครดิตไลน์ให้เสี่ยพิชญ์ ในรูปแบบที่แสนสุ่มเสี่ยงเพราะเอาใบหุ้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
หากหลังเทนเดอร์ เกิดราคาหุ้น JAS (รวมทั้ง JTS) เกิดร่วงหนักขึ้นมาในอนาคต เจ้านี้ที่รับจำนำใบหุ้นเป็นหลักทรัพย์ไว้…มีเสียววววว
ไอ้ที่เคยมั่นใจนักหนา…อาจจะเป็นถอดใจ หรือ…เจอกันในศาล
นั่นเป็นเรื่องอนาคต ทุกอย่างเป็นไปได้ และ เป็นไปไม่ได้
รู้แต่ว่างานนี้ ผู้บริหารมือเก่งระดับ “ดาวรุ่ง” อย่าง นายอาทิตย์ นันทวิทยา เอาคอพาดเขียงเต็มๆ…
อย่างว่า เกมเสี่ยงตามประสาแบงเกอร์ที่ช่ำชองกับงานวาณิชธนกิจมายาวนาน ซีอีโอใหญ่ ปัจจุบันของ SCB ไม่ได้ทำกรณีนี้เป็นรายแรก เสี่ยงทำนองนี้ มีหลายกรณี นับแต่กรณีปล่อยกู้ TRUE หรือกรณี CPALL เทกโอเวอร์ MAKRO หรือกรณี WHA เทกโอเวอร์ HEMRAJ มาแล้ว
เรื่องอย่างนี้ สบายบรื๋ออออ…ว่างั้นเถอะ
ล่าสุดก่อนดีล JAS และ JTS ซีอีโอ อาทิตย์ ก็นำ SCB และกลุ่มเจ้าหนี้ร่วมอย่าง KTB และ TISCO ฝ่าแรงต้านจากเจ้าหนี้อื่นๆ ของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI รวบรัดกับเสี่ยวิน วิริยะประไพกิจ แต่งตั้ง SSI เป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ
รายละเอียดไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ข่าววงในระบุว่า ตกลงว่าจะให้ SSI สร้างรายได้เพื่อผ่อนชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ร่วมทั้งหลายไปอีก 144 เดือน หรือ 12 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยปีละต่ำกว่า 1%
หลังจากครบกำหนดไปแล้ว หากเกิดเหตุ “ไม่คาดฝัน” และผ่อนชำระไม่ทัน ก็อาจจะสามารถ “แปลงหนี้เป็นทุน” (ซึ่งยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดล่วงหน้า)
ข้อตกลงนี้ หากยื่นผ่านศาลล้มละลายกลางไปได้ เสี่ยวินแห่ง SSI มีสิทธิ์ร้อง…Born Freeee!!!!! ก้องโลก
ขนาดงบการเงินล่าสุด ผู้สอบบัญชีลงความเห็นชัดๆ ว่า มีความคลุมเครือในงบการเงินสารพัดอย่างนี้ แบงก์เจ้าหนี้ยังเซื่องซึมมอบตัวให้ลูกหนี้…แถมยังติดเป็นหนี้บุญคุณล่วงหน้าอีกต่างหาก
หาเจ้าหนี้แสนการุณย์แบบที่นำโดย SCB ยุคนายอาทิตย์ นันทวิทยา…ไม่มีอีกแล้ว
หายากสสสสส
ยังงี้ลูกหนี้ รักตาย…
หัวกระได SCB ยามนี้ จึงไม่เคยแห้ง…เพราะเปรียบได้กับอาละดินยุคใหม่ ที่ขูดตะเกียงแล้วปล่อยยักษ์ออกมาเพ่นพ่านหลายตัว โดยไม่มีเรียกกลับคืน
“อิ อิ อิ”