พาราสาวะถี อรชุน
เป็นใครก็อดสงสัยหรือค่อนข้างที่จะตลกปนสมเพชไม่ได้กับถ้อยแถลงของ พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช.ต่อกรณีเอาผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในประเด็นบริหารจัดการน้ำผิดพลาดจนเกิดมหาอุทกภัยปี 2554 โดยมีที่มาจากวลีทองวลีเดียวว่า “เอาอยู่” แต่ปรากฏว่าสุดท้ายทำไม่ได้ จึงมีคำถามว่าถ้าอดีตนายกฯหญิงไม่ได้พูดประเด็นนี้ก็จะไม่มีความผิดใช่ไหม
เป็นใครก็อดสงสัยหรือค่อนข้างที่จะตลกปนสมเพชไม่ได้กับถ้อยแถลงของ พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช.ต่อกรณีเอาผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในประเด็นบริหารจัดการน้ำผิดพลาดจนเกิดมหาอุทกภัยปี 2554 โดยมีที่มาจากวลีทองวลีเดียวว่า “เอาอยู่” แต่ปรากฏว่าสุดท้ายทำไม่ได้ จึงมีคำถามว่าถ้าอดีตนายกฯหญิงไม่ได้พูดประเด็นนี้ก็จะไม่มีความผิดใช่ไหม
ใช้ตรรกะได้วิบัติจริงๆ นี่หรือคือที่พึ่งพิงที่หวังของประชาชนคนทั้งประเทศในการสอดส่อง ป้องกันและปราบปรามการทุจริต คิดกันได้เช่นนี้ถามว่าแล้วน้ำที่ท่วมอยู่เวลานี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดไปก่อนแล้วว่าใครก็ป้องกันน้ำท่วมไม่ได้ เพราะฝนตกหนักตลอดเวลา แสดงว่าไม่ต้องมีความผิดแล้วอย่างนั้นใช่ไหม
คิดกันได้เท่านี้ ก็ไม่สมควรที่จะไปทำการใหญ่ มองไปเห็นหัวใจในการตรวจสอบแล้วมันไม่ได้ยึดโยงเอาความโปร่งใสหรือใช้หลักการที่ยิ่งใหญ่ใดๆ เลือกจิ้มเลือกจัดการเพื่อสอพลอผู้มีอำนาจอย่างชัดเจน ในฐานะคนที่มีหัวใจเป็นกลางและยึดถือกฎหมายเป็นสำคัญ มากไปกว่านั้นด้วยศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร ต้องถามบิ๊กตู่ว่าต้องการให้บ้านเมืองเดินกันไปด้วยวิธีการเช่นนี้จริงๆหรือ
มีอีกประเด็นที่คงต้องฝากบรรดาสื่อทั้งหลายไปถาม วิษณุ เครืองาม ที่อรรถาธิบายเรื่องการเรียกค่าชดเชยจำนำข้าวจากยิ่งลักษณ์จำนวน 35,000 ล้านบาท ที่บอกว่าเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าโครงการทั้งหมด และถ้ายึดตามหนังสือแจ้งให้ดำเนินการของป.ป.ช.ในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2560
แล้วที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์ จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากใครและต้องเร่งรีบเพื่อไม่ให้หมดอายุความเหมือนยิ่งลักษณ์หรือไม่ หรือในหนังสือที่แจ้งมาของป.ป.ช.ต่อการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง ระบุไว้ชัดเจนว่าให้เรียกค่าเสียหาย 20 เปอร์เซ็นต์จากยิ่งลักษณ์ก่อนภายในระยะเวลา 2 ปี ส่วนที่เหลือเมื่อไหร่ก็ได้ ขอให้บอกชัดๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นมันจะได้เป็นเครื่องยืนยันว่าการบังคับใช้กฎหมายมันมีหลายมาตรฐานจริง
สิ่งที่ยังเกาะติดกันต่อไปหนีไม่พ้นปม ปฐมพล จันทร์โอชา ลูกชาย พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม หลานนายกฯตู่ ผู้ที่ใช้สถานที่ตั้งบริษัทเป็นค่ายทหารในจังหวัดพิษณุโลก สังกัดกองทัพภาคที่ 3 และชนะงานประมูลของกองทัพภาคที่ 3 ด้วยมูลค่ามหาศาล ที่ประธานป.ป.ช.บอกว่าไม่หนักใจแต่ต้องรอบคอบนั้น มันหมายถึงอะไร จะดึงเรื่องให้ช้าเพราะกลัวอำนาจพิเศษใช่หรือไม่
ที่น่าหดหู่ใจมากกว่าคงเป็นองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) เพิ่งจัดอีเวนต์ใหญ่เปิดไฟไล่โกงกลางท้องสนามหลวง พอมาถึงประเด็นนี้ที่เข้าข่ายปมของผลประโยชน์ทับซ้อนหรือ Conflict of Interest ชัดเจนไม่เห็นออกมากระทุ้งหรือเรียกร้องอย่าเกาะติดเหมือนหลายๆ กรณี หรือเป็นเพราะเห็นว่ามีบิ๊กตู่มาเป็นประธานจัดงานจึงเกรงใจ
ไม่เพียงเท่านั้นในแถลงการณ์ขององค์กรแห่งนี้ที่มองแล้วเหมือนออกมาแบบเสียมิได้ ยังแถลงยกย่องชมเชยในความสุจริต ซื่อตรงแล้ว คนก็พานให้นึกไปถึงว่าหรือเป็นเพราะผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมตตาปรานีคนที่อยู่เบื้องหลังองค์กรดังว่าที่เคยมีปัญหาเรื่องหลบเลี่ยงภาษีชิ้นส่วนยานยนต์เป็นมูลค่ามหาศาล จึงต้องยกยอปอปั้นกันถึงเพียงนี้
มิหนำซ้ำ แถลงการณ์ที่ออกมา เนื้อหาก็เหมือนเป็นเรื่องเบสิกพื้นฐานทั่วไป การเรียกร้องให้ต้องมีการตรวจสอบติดตามให้ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างชัดเจนและรวดเร็ว และการตรวจสอบต้องเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายโดยไม่มีการเข้าไปก้าวก่ายหรือครอบงำอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างต้องให้โปร่งใส อยู่ในสายตาของสาธารณชน
เพื่อเป็นการป้องกันมิให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายเรื่องประโยชน์ทับซ้อน ในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ เพราะระบบอุปถัมภ์หรือการเอื้อประโยชน์ต่อคนใกล้ชิดเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้ายแรงของการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้หมดไปจากประเทศ ต้องช่วยกันต่อต้านไม่ให้ค่านิยมในการอุปถัมภ์เป็นข้ออ้างในการทุจริตคดโกง
ถามว่ากรณีอย่างนี้ที่ตั้งบริษัทอยู่ในค่ายทหาร เจ้าของบริษัทเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจและรับงานขององค์กรที่ผู้มีอำนาจเคยบริหารงานมาก่อน ถามว่าเข้าหลักเกณฑ์ระบบอุปถัมภ์ดังที่กล่าวอ้างมาหรือไม่ มันชัดเสียยิ่งกว่าชัด แล้วองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นจะไม่ดำเนินการอะไรบ้างเลยหรือ แค่ออกแถลงการณ์แล้วก็จบกันไปง่ายๆ อย่างนี้เลยใช่ไหม
จึงไม่แปลกที่ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานข่าวพีพีทีวี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า สถานการณ์บอกตัวตน นักข่าวพีพีทีวีโทรไปขอสัมภาษณ์ผู้นำหลายคนมีชื่อเสียงด้านการรณรงค์ให้ผู้คนต่อต้านการคอร์รัปชั่น ตอนแรกก็ยินดีให้สัมภาษณ์เมื่อนักข่าวบอกว่าเรื่องคอร์รัปชั่น แต่พอบอกประเด็นเรื่องลูกชายปลัดกระทรวงกลาโหมประมูลงานกองทัพได้ ปรากฏว่าทุกคนปฏิเสธกันหมดโดดหนีพัลวัน บางคนติดประชุมด่วนกะทันหัน บางคนไม่รับสายอีก
ตรงนี้มันน่าจะเป็นภาพสะท้อนอะไรบางอย่างได้เป็นอย่างดี สังคมคนดีหรือชนชั้นกลางที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาว่า ต่อต้านการคอร์รัปชั่นรังเกียจการทุจริต แต่สุดท้ายก็เป็นแค่อาการดัดจริตหรืออคติที่มีต่อนักการเมืองบางพวกบางฝ่ายเท่านั้น พอถึงคนฝั่งที่ตัวเองเชียร์แบบสุดตัว ทั้งๆ ที่เห็นว่ามันไม่โปร่งใสจึงเกิดอาการใบ้รับประทานกันทันทีทันใด
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่พีพีทีวีเปิดไว้เรื่องห้างหุ้นส่วนจำกัด นำพล อินเตอร์เทรด ที่แพ้การประกวดราคาต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดคอนเทมโพรารี คอนสตรั่คชั่น ของลูกชายพลเอกปรีชาไปทั้ง 3 โครงการหลักพันบาทนั้น พบว่ามีประวัติรับงานกับกองทัพมากกว่า 100 โครงการ และเฉพาะช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รับงานกองทัพ 50 โครงการเป็นของกองทัพภาคที่ 3 ถึง 49 โครงการ
สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดนำพลฯอาจจะเป็นคู่สัญญาที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งไม่นับโครงการก่อนหน้าปี 2558 อีกมากกว่า 50 โครงการ ลักษณะโครงการมีตั้งแต่จัดซื้อเครื่องแต่งกาย รองเท้า เสื้อยืด เครื่องสนาม เครื่องแบบทหาร ไปจนถึงจัดซื้อรถจักรยานยนต์ จัดซื้อเครื่องหาพิกัดด้วยดาวเทียมและปรับปรุงอาคาร ก่อสร้างอาคาร แต่กลับมาแพ้การประกวดราคาในโครงการที่มีบริษัทลูกของอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นคู่แข่งในราคาที่ต่างกันเพียงหลักพันบาท น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง